วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ฆราวาสควรทำงานที่เป็นประโยชน์ทางโลกแค่ไหน ถ้าไปได้ไม่ดี มีเวลาปฏิบัติธรรมน้อย ควรลาออกเพื่อทำความก้าวหน้าทางธรรมเลยดีไหม?

 ดังตฤณ : คำถามตรงนี้กว้างไปนิดนึงนะครับ ต้องเจาะจงว่าที่บอกว่าเป็นประโยชน์ทางโลกเนี่ย เป็นประโยชน์แบบไหน ยังไง แล้วก็ที่เราทำมาเรามีกำลังใจอยู่รึเปล่านะครับ เพราะบอกว่างานยาก ผลงานไม่ดี แล้วถามรึเปล่าว่ากำลังใจของเรามันยังเต็มร้อยมั้ย คือเราเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้มั้ย เพราะงานทุกชนิดถ้าว่าไปแล้วยากหมด ต่อให้เป็นงานกวาดขยะ ถ้าจะกวาดให้เรียบร้อยจริงๆเป็นงานที่ยากนะครับ เป็นงานที่ต้องใช้ศิลปะ ต้องใช้ความเข้าใจ ต้องสั่งสมประสบการณ์มาพอสมควรมันถึงจะสะอาดได้จริงนะงานกวาดถนนเนี่ย

ทีนี้งานของเรา ถ้าหากว่าเราบอกว่ายาก ทำให้ดีได้ยาก แล้วใจของเราล็อกอยู่ตรงนั้น ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธานนะ ในที่สุดแล้วงานของเรามันก็แป้กอยู่แค่นั้นแหละ

แต่ถ้าหากว่าใจของเรามันสู้ แล้วก็คิดว่าที่ทำไปมันไม่ดี มันไม่ใช่ว่ามันห่วย หรือว่ามันจะแป้กอยู่แค่นั้น แต่มันไม่ดีให้เราเห็นเพื่อจะรู้ว่า ทำไปด้วยเหตุประมาณนี้ ขยันแค่นี้ มีใจแค่นี้มันได้แค่นั้น ถ้าหากว่าเพิ่มใจ เพิ่มความรู้ เพิ่มประสบการณ์ ใส่ทักษะความสามารถเข้าไป ทักษะความสามารถที่มันจะเกิดขึ้นได้เนี่ยนะครับ เกิดจากการสะสมลองผิดลองถูก แล้วก็ง่วนอยู่กับการลองผิดลองถูกนั้นไม่เลิก จนกว่าจะได้คำตอบที่ใช่ คำตอบที่ถูก หรือว่าพละกำลังความเคลื่อนไหว หรือว่าปฏิภาณที่มันมากพอจะทำให้มันดีขึ้น เนี่ย!ตัวนี้แหละ ที่ในที่สุดเราจะเห็นคำว่า “ยาก” เป็นแค่คำว่า “ท้าทาย” ถูกแทนที่ด้วยคำว่า “ท้าทาย

แต่ถ้าเราไม่ลองผิดลองถูก เรายอมแพ้แล้วก็ติดอยู่กับคำว่า มันยาก มันดีได้ยาก มันดีไม่ได้ มันก็ไม่ไปไหนนะครับ

ถามว่าควรจะออกมาเพื่อที่จะปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเลยมั้ย?

เอาทางโลกุตระให้รุ่ง อันนี้ขอตอบแบบเป็นสากลแบบกลางๆ ไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงเจ้าของคำถามนี้ หรือว่าใครคนใดคนหนึ่งนะครับ

เอาเป็นว่าเท่าที่ผมเห็นมานะครับ คนที่ปฏิบัติธรรมได้ดี ดีมากๆ ดีได้เร็วรวดเร็วเนี่ยนะครับ ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ หรือประสบความสำเร็จทางโลกมาก่อน

เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทางโลกมาเนี่ย มันจะรู้จุด มันจะจับจุดถูกว่าจะเริ่มขยันตรงไหน แล้วของเนี่ยมันต้องใช้เวลา แล้วก็ต้องมีการสำรวจ คือไม่ใช่ว่าพอใจทำแล้ว เสร็จแล้วไม่สำรวจเลยว่ามันคืบหน้าคืบหลังไปแค่ไหน ไม่ดูเทียบวัดเลยว่าพระพุทธเจ้าให้แนวทางในการวัดผล เป็นกิเลสที่ลดลง โทสะที่ลดลง หรือว่าโมหะลดลงอะไรยังไงเนี่ย คือไม่ได้เทียบเคียงทำดื้อๆอย่างนั้นนะครับ ยี่สิบปี สามสิบปี มันก็จะเหมือนกับทำงานทางโลกนั่นแหละ คือไปไม่ถึงไหนด้วยความรู้สึกว่า เออ เนี่ยทำแล้วพยายามแล้วยี่สิบปีแล้ว แต่สงสัยบุญไม่ถึงนะ ที่แท้เนี่ยมันขาดการสังเกต ขาดการพิจารณา ขาดการคิดว่า เอ๊ะ!ไอ้ที่มันทำไปแล้วย่ำอยู่กับที่เนี่ย วิธีมันผิดรึเปล่า หรือว่าใจของเราตั้งอยู่ผิดทิศหรือเปล่า

พอคนเคยเก่งทางโลกมานะ มันจะรู้ว่าต้องลองผิดลองถูก จะมาย่ำอยู่กับที่แล้วหวังว่าทุกอย่างจะก้าวหน้าขึ้นเนี่ย มันไม่ได้นะครับ 

คนย่ำอยู่กับที่เนี่ยแล้วบอกว่าเดี๋ยวเส้นชัยมันจะวิ่งมาหาเองเนี่ย เป็นคนที่คิดผิดนะครับ เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ถ้าเรารู้ว่าเส้นชัยมันอยู่ข้างหน้าไกลๆ เราต้องเดินไปเรื่อยๆ เขยิบไปเรื่อยๆ คืบหน้าไปเรื่อยๆ สะดุดหินบ้าง หรือว่าล้มบ้าง ถูกใครมาผลักบ้าง แล้วพยายามเดินต่อ นั่นแหละในที่สุดวันหนึ่งมันจะไปถึง

แต่ถ้าถูกผลักหรือว่าสะดุดหินก้อนนึง แล้วบอกมันยาก สงสัยไปไม่ถึงไหนเนี่ย ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมมันก็จะปรากฏผลแบบเดียวกันนะครับ คือไปไม่ถึงเส้นชัย อันนี้ให้ไว้เป็นแนวทางพิจารณา คือไม่ใช่คำตอบตรงๆว่าคุณควรจะลาออกไปปฏิบัติธรรมเต็มตัวรึเปล่านะครับ

ถ้าหากว่าเข้าใจทางโลกได้ มันมีสิทธิ์ที่จะไปเข้าใจทางธรรมได้เช่นกันนะครับ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะฆราวาส หรือว่าในฐานะของบรรพชิตผู้ออกบวชผู้ถือบวช

----------------------------------------------

๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ชาตินี้ไม่มีบุญ หรือชาตินี้ไม่มีใจ?

คำถาม : ในฐานะที่เป็นฆราวาส ควรทำประโยชน์ด้วยงานทางโลกมากแค่ไหน ถ้าเราทำงานที่ยาก แต่มีเหตุปัจจัยที่เราจัดการไม่ได้ ทำให้ผลไปได้ไม่ดี ควรลาออกเพื่อทำความก้าวหน้าทางโลกุตระไหม? หรือยังควรสร้างประโยชน์ทางโลกต่อไป ถึงแม้ว่าการทำงานจะได้ฝึกจิต แต่เวลาในการเจริญสติในรูปแบบค่อนข้างน้อยค่ะ    

ระยะเวลาคลิป    ๕.๔๖  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=eRmeS3x7ezE&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=10&t=61s

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น