วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

คนพิการเป็นอภัพบุคคลหรือไม่ บรรลุโสดาบันได้ไหม

ดังตฤณ : ที่บอกว่าเป็นอภัพบุคคลนี่ ในตำราที่ว่าไว้นี่ก็บอกว่า คนยุคนี้เกือบหมด หรือจะบอกว่าทั้งหมดก็ได้ เป็นพวกไม่มีสิทธิ์บรรลุมรรคผลนะ

 

ถ้าไปเชื่อแบบนั้น เสร็จแล้วมาบั่นทอนกำลังใจตัวเอง ทำให้ไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ในธรรมะได้ ไม่สามารถมาพิจารณากายใจได้ นั่นแหละคือซวยของจริงนะ คือไปเชื่อสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้

 

พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสไว้เลยว่า คนในยุคไหน สมัยใดที่จะปัญญาทรามขนาดไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่สามารถเข้าใจธรรมะของพระองค์ได้

 

ท่านมีแต่ตรัสไว้ว่า ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐาน 4 อย่างเร็วเจ็ดวัน อย่างกลางเจ็ดเดือน อย่างช้าเจ็ดปี ต้องได้อนาคามิผล หรือเป็นอรหัตผล คือข้ามไปเลยนะ ข้ามช็อตโสดาปัตติผล กับ สกทาคามิผล นะ

 

ใครก็ตามที่เจริญสติปัฏฐานเต็มที่ แล้วถูกทางแบบที่พระพุทธเจ้าประทานวิธีไว้ อย่างช้าที่สุด เจ็ดปี ต่อให้มีอินทรีย์อ่อนแค่ไหน มีบุญเก่ามาแต่ชาติไหนๆ ไม่สามารถไปสู้ใครเข้าได้ แค่เจ็ดปี ถ้าหากว่าใช้เวลาในชีวิตมนุษย์ ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วสามารถฟังธรรมะเข้าใจได้ มีร่างกายที่จะพิจารณาธรรมะ แบบที่พระองค์สอนนี่นะ เจ็ดปี หวังได้ว่าจะถึงอนาคามิผล

 

ชอบมีคนมาบอกว่า ทำมาเจ็ดปี ไม่เห็นได้เลย .. ทำอะไร? ต้องถามด้วยนะ ลงรายละเอียดด้วยนะว่า ทำอะไร แล้วตรงกับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หรือเปล่า

 

ถ้าทำไว้ตรงกับพระพุทธเจ้าสอน อย่าว่าแต่ตาไม่ค่อยดีเลย ให้ตาบอดด้วย ตาบอดนะ แต่ยังฟังธรรมะเข้าใจ แล้วก็พิจารณากายใจได้ ที่ผมเห็นมาชัดๆ เลย คนตาบอดนี่ ตาบอดสนิทเลยนะ (ผู้ถาม) นี่แค่เห็นเลือนรางยังไม่ได้ตาบอดนะ

 

คนตาบอดที่จิตสว่าง คนตาบอดที่มีจิตที่สว่างกว่าคนตาดี ผมเคยเห็นมาแล้ว แล้วก็ขอยืนยันว่า เรื่องที่เกิดมาแบบไม่มีปัญญา คือบอกว่าเป็นแค่ทวิเหตุ (ทวิเหตุกบุคคล) ไม่ครบติเหตุ (ติเหตุกบุคคล) อะไรนี่ เป็นเรื่องไม่จริงนะ ไม่รู้เอาอะไรมาวัดว่า ตรงไหนเกิดมาพร้อมกับปัญญา ตรงไหนไม่มีปัญญาประกอบด้วย

 

เพราะปัญญาที่พระพุทธเจ้าท่านจะให้เป็นตัวตั้งว่า สามารถบรรลุมรรคผลได้ ก็คือ มีอวัยวะแบบมนุษย์นะครับ มีสำนึกคิดอ่านแบบมนุษย์ สามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ สามารถที่จะให้ทานได้ มีจิตให้ทาน สามารถที่จะถือศีลได้ สามารถที่จะโฟกัสกับลมหายใจ ตอนนี้เข้าหรือออกอยู่ ตอนนี้ยาวหรือสั้นอยู่ จนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยงของลมหายใจได้

 

ถ้าใครทำได้แค่นี้ ก็บรรลุมรรคผลได้แน่นอน ถ้าไม่ไปทำอนันตริยกรรมด้วยนะ นอกนั้นคือประเภทที่บอกว่า เกิดมาไม่มีปัญญาประกอบมาด้วย เหลวไหลมากนะ คือไปเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ แล้วทำให้ขวางทางตัวเอง ไม่สามารถที่จะปักใจให้แน่วไป ตั้งมั่นไปในธรรมะได้ น่าเสียดายมาก ไปเชื่ออะไรที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสนะ

 

ลองคิดดูแล้วกัน ว่าอะไรเป็นฝ่ายที่บั่นทอนจิตใจ บั่นทอนกำลังใจ ไม่ให้คนได้พยายามเพียรถึงมรรคถึงผลกันอย่างถูกทาง ฝ่ายไหนที่ควรจะมาห้ามมรรคห้ามผลของคนในยุคไหน เป็นฝ่ายธรรมะ หรือเป็นฝ่ายตรงข้าม ลองคิดเอา

 

เวลาฟังธรรมนี่นะ แล้วก็เวลาปฏิบัติธรรม อย่ามัวแต่คิดว่าเรามีสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิ์ เพราะความคิดแบบว่ามีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์นี่ จะดักตั้งแต่ต้นทางเลย ว่า เราจะมีใจ แน่วเข้าไปในการรู้กายใจแค่ไหน

 

ถ้าบอกว่าเราไม่มีสิทธิ์ก็คือ แล้วจะทำไปทำไม ก็จะคิดอย่างนี้ ลองนึกดูดีๆ นะ ว่าฝ่ายไหน ที่บั่นทอนกำลังใจของผู้คน ไม่ให้อยากเอามรรคเอาผล บอกว่าเป็นพวกปัญญาทราม บอกว่าเป็นพวกที่ไม่มีสิทธิ์แล้ว ลองคิดดูก็แล้วกันนะ

 

แล้วการพิการทางสายตา ก็ไม่เกี่ยวกับเป็นบุคคลผู้อาภัพ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้นะ ไม่เกี่ยวนะ ที่เป็นอภัพบุคคล เป็นเรื่องของปัญญานะ เป็นเรื่องความสามารถที่จะมีปัญญาตั้งอยู่ แน่วแน่ถึงขั้นที่รวมจิตถึงฌาน เห็นกายใจเป็นรูปนามได้ถึงฌาน แต่เราก็ตัดได้ มีความสามารถล้างสังโยชน์ ซึ่งตรงนั้นต้องสร้างเอา

 

การเจริญสติ ไม่ใช่ว่าเอาบุญเก่าติดตัวมาแต่ชาติไหน ไม่ใช่นะ อันนั้นเขาเข้าใจผิดกันตั้งแต่แรกเลย ว่าต้องใช้บุญเก่ามาเป็นมิเตอร์ มาเป็นตัววัด มาเป็นตัวชี้ ชี้เป็นชี้ตาย จริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเพียรในปัจจุบันต่างหากที่สามารถเป็นเครื่องชี้ขาด นะ

_________________

คำถามเต็ม : ผมเป็นคนพิการทางสายตามองเห็นเลือนราง ได้ยินว่าคนพิการเป็นอภัพบุคคล ปัจจุบันผมฟัง CD หลวงพ่อปราโมทย์แล้วพยายามมีสติในระหว่างวัน และนั่งภาวนาตอนเย็นก่อนนอน อยากทราบว่าจะมีโอกาสได้โสดาบันไหม?

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เคยทุบตีพ่อแม่ ห้ามมรรคผลหรือไม่?

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=Q-cZFNYaM1s&t=2s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น