ดังตฤณ : เทคนิคที่จิตมันจะว่างเนี่ย ไม่มีนะครับ คือบางคนอาจจะใช้ได้ผลครั้งแรกๆ มีเทคนิคอะไรที่แบบไปดูฟ้า หรือว่าไปคิดถึงตอนที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาอะไรแบบนี้ มันอาจจะได้ผล แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง
สิ่งที่มันจะทำให้ได้ผลจริงเวิร์คจริง คือคุณต้องมีธรรมดาของจิตที่ไม่เอาอะไรอยู่แล้ว มีธรรมดาของจิตที่พร้อมจะทิ้งอะไรไปได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว นี่ตรงนี้นะครับที่มันจะเวิร์คจริงนะครับ
แล้วการที่เราจะมีจิตว่างได้เนี่ย มันต้องพูดกันเรื่องของการหมั่นทำทาน
ทาน ไม่ใช่ให้เงินอย่างเดียวนะครับ แต่พอมีเรื่องแล้วเราทิ้งเรื่องได้ง่ายๆไม่ถือสา ขี้เกียจมีเรื่องแล้วก็แล้วไปไม่ติดใจ ยกเว้นสำคัญหรือสลักสำคัญขนาดที่ว่า มันถึงขั้นคอขาดบาดตายจะมีคนเดือดร้อนกันอีกเยอะอะไรแบบนี้ เราถึงไปเอาเรื่องเอาราวด้วยเจตนาที่จะให้สถานการณ์มันคลี่คลายไปในทางที่จะให้ละลายความเดือดร้อนของคนรอบตัวอะไรแบบนี้นะครับ อย่างนี้ใจมันถึงจะไม่ร้อนตามเรื่อง คือเพราะเจตนาไม่ใช่ไปเอาเรื่องเขาด้วยโทสะ แต่ไปเหมือนกับทำให้มันจบด้วยใจที่หนักแน่น แล้วก็เห็นความสำคัญของการที่จะให้เขาเกิดความรับผิดชอบอะไรแบบนี้นะครับ
ใจในลักษณะที่มันพร้อมจะให้อภัย ใจในลักษณะที่พร้อมจะไม่เอาอะไร แต่พร้อมที่จะทิ้งของรุงรังออกจากจิต ทิ้งความร้อนออกจากใจ ทิ้งความอาฆาตพยาบาทออกจากชีวิต แบบนี้เนี่ยถ้าเกิดขึ้นเป็นปกตินะครับ เวลามีเรื่องที่จำเป็นต้องคิด เราจะเห็นได้เลยว่า ใจมันมีความพร้อมจะเยือกเย็น มีความพร้อมที่จะลงมาอยู่ในจุดที่ตั้งอยู่ตรงกลางไม่เอียงข้างไปทางซ้ายหรือทางขวา
ทีนี้เรื่องของงานที่มันรกหัวนะครับ จริงๆแล้วถ้าเรารู้สึกว่ามีสิ่งที่เข้ามาหมุนๆๆ วนๆๆอยู่ตลอด แล้วเราไม่สามารถที่จะปล่อยได้ อันนี้ก็เป็นสัญญาณบอกว่า เราจะไม่สามารถทำจิตให้วางหรือทำจิตให้ว่างเมื่อเกิดเรื่องกระทันหันอะไรขึ้นมา
แต่ถ้าหากว่าเราเป็นคนคิดตรง เราเป็นคนมีความสามารถที่จะคิดจบ ไม่เอาเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ววนกลับมาคิดอีก แบบนี้เรียกว่าพร้อมจะมีจิตว่าง ลักษณะของจิตวุ่นมันไม่ตั้งอยู่ในใจเรา แบบนี้เวลามีเรื่องเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จิตเราก็พร้อมว่างเหมือนกัน มันต้องฝึกแล้วก็เหมือนค่อยๆพิจารณาว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นภาวะในหัว มันเข้ามาวกวนเพราะอะไร เพราะว่าจิตเราไม่ตรง ไม่ได้คิดแบบตรงก็ฝึกคิดให้ตรง
หรือถ้ากำลังนั่งสวดมนต์อยู่แล้วมีอะไรมาวนเวียนอยู่ในหัวก็ฝึกมองว่า เออ สวดแต่ละรอบสวดแต่ละวรรคแต่ละวรรคเนี่ย มันว้าวุ่นไม่เท่ากัน เดี๋ยวมันก็เบาลง เดี๋ยวมันก็ทวีตัวหนักขึ้นมา เรียกว่าค่อยๆดู ค่อยๆเห็นนะว่า ไอ้ความว้าวุ่นหรือว่าความฟุ้งซ่านที่มันเข้ามา มันมาเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเรามันไม่เที่ยง
จากนั้นคุณจะรู้สึกเองไปตามวันและเวลาที่ฝึกมองอย่างนี้เห็นอย่างนี้นะครับว่า ใจเนี่ยไม่ถูกเกาะติดด้วยความวุ่นใดๆ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่เกิดเรื่อง พอไม่เกิดเรื่องคนมักจะฟุ้งซ่านขึ้นมาเองราวกับว่ามีเรื่อง เนี่ยแบบนี้เนี่ยถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไม่มีทางเลยที่ใจจะว่างได้ แต่ถ้าอยู่เฉยๆแล้วไม่มีเรื่องอะไรนะ แล้วใจมันว่างอยู่ด้วยตัวเองได้ มีความสุขอยู่กับความว่างนั้น มีความสุขอยู่กับการเห็นว่า เดี๋ยวลมก็เข้า เดี๋ยวลมก็ออก นี่อย่างนี้จิตแบบนี้แหละที่จะสามารถรับมือกับเรื่องกระทันหันสถานการณ์ด่วนสถานการณ์ฉุกเฉินได้นะครับ
อันนี้หมายถึงงานที่ติดพันที่ต้องคิดอยู่เรื่อยๆ
ถ้าต้องคิดอยู่เรื่อยๆนี่มันว่างไม่ได้หรอกนะครับ จำไว้ว่า ความคิดเนี่ยมันทำให้จิตเรา
.. ถ้าเป็นงานที่ติดพันมันว้าวุ่นได้ตลอดแหละ แต่ว่าการคิดเป็นเส้นตรงคิดแล้วจบเนี่ย
นั่นแหละตัวนี้แหละที่เราต้องหัดกัน
ไม่ใช่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรที่ต้องคิดยาวๆแล้วจิตมันจะว่างได้
อย่าไปเข้าใจแบบนั้นนะครับ แต่เข้าใจว่า จิตถึงแม้ว่าจะไม่ว่างแต่คิดเป็นเส้นตรงในที่สุดแล้วพอมันจบลง
มันก็กลายเป็นสมาธิขึ้นมาเองแบบหนึ่ง เป็นสมาธิแบบโลกๆ
------------------------------------------
๒๓
มกราคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ‘จิตว่าง’ สำคัญอย่างไร?
คำถาม : เวลามีงานที่ต้องคิดติดพัน มีเทคนิคการปล่อยวางหรือทำให้จิตว่างได้ยังไงคะ?
ระยะเวลาคลิป ๖.๐๒
นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=_31ihqCAV08&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=11
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น