วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ไม่นับถือศาสนาใด ไม่ทำทั้งบุญและบาป จะเป็นอย่างไร

ดังตฤณ : คือการที่เราจะทราบได้ว่า ใครจะทำอะไรแล้วไปไหนนี่นะ ไม่ได้ขึ้นกับว่าคนๆ นั้นนับถือศาสนาใด

 

ถ้าหากว่าเป็นศาสนาอื่น บางทีนี่จะมีระบุไว้ ... ไม่เชื่อเรา ไม่เชื่อพระศาสดา อย่างนี้ก็มีที่หมายเป็นอบายภูมิแน่นอน ... ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าสืบไปสืบมา ศาสดาท่านอาจไม่ได้เป็นคนกล่าวไว้ก็ได้ แต่ว่าเป็นคำของรุ่นหลังๆ อะไรแบบนี้

 

แต่ศาสนาพุทธนะครับ ถ้าหากว่านับถือหรือไม่นับถือพุทธศาสนาก็ตาม ต้องดูด้วยว่า ทำกรรมในแบบที่เบียดเบียนชาวบ้านเขาหรือเปล่า หรือว่าทำกรรมในแบบที่ช่วยเหลือเกื้อกูลใครไว้บ้าง

 

ศาสนาพุทธนี่ถ้าให้จำง่ายๆ ปฏิบัติต่อชาวบ้านอย่างไร ก็คือทำให้ตัวเองอย่างนั้น

 

เราดูพื้นฐานก่อนว่า โดยกรรม ถือศีลได้ดีแค่ไหน หรือบังเอิญประพฤติปฏิบัตินอกลู่นอกทางของศีลของธรรมแค่ไหนด้วย

 

บางคนไม่ได้ตั้งใจถือศีล แต่ก็ไม่ได้มีเหตุจูงใจให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้มีเหตุให้ไปคดโกงใครเขา ไม่ได้มีเหตุให้ไปประพฤติผิดประเวณี ไม่ได้มีเหตุให้ไปโกหกมดเท็จหรือด่าทอชาวบ้าน ไม่ได้มีเหตุให้อยากกินเหล้าเมายา

 

อย่างนี้คือถือว่าไม่ได้ทำอันตรายให้กับโลก ไม่ได้เบียดเบียนโลก เพียงแต่ว่าถ้าหากมีเหตุกระตุ้นมากพอ หรือแรงพอ เขาก็อาจเปลี่ยนใจมาประพฤติปฏิบัติในแบบที่ละเมิดศีล ละเมิดธรรมได้

 

ตรงข้ามกับ ถ้าหากว่าเราเชื่อเลื่อมใสในศาสนา แล้วก็ถือศีลห้าบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะมีเหตุกระตุ้นร้ายแรงเพียงใด หนักหน่วงเพียงใด ก็จะไม่ละเมิดศีล โดยวิธีห้ามใจ หรือ ด้วยความรู้สึกว่า ไม่อยากทำออกมาจากใจ เพราะว่าเห็นแล้วว่า ศีล เป็นมหาทาน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ศีลเป็นมหาทาน

 

ที่เป็นมหาทาน ก็เพราะว่าให้ความปลอดภัยแก่คนในโลก ไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะนับถือศาสนาพุทธหรือไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ถ้าหากว่าไม่ได้ประพฤติผิดธรรม ไม่ได้ทำบาปทำกรรมแล้ว ก็จะไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ไม่มีความพินาศแห่งทรัพย์ ไม่มีภัยเวรอันเกิดจากการที่จะต้องไปผิดประเวณี แล้วมีความแค้นเคืองอะไรกับชาวบ้านเขาในเรื่องเกี่ยวกับชู้สาว

 

นี่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นเหตุปัจจัย เป็นผลลัพธ์ที่ตรงไปตรงมา ไม่เบียดเบียนเขา เราก็ไม่ถูกเบียดเบียนกลับ ทั้งชาวบ้านที่จะมาเบียดเบียนเรา และทั้งธรรมชาติ ภาวะธรรมชาติ ภัยพิบัติก็จะไม่มาเบียดเบียนราวีเรา เราจะไปเกิดในที่ๆ ไม่ถูกเบียดเบียน นี่เป็นเรื่องธรรมดาของศีล

 

ทีนี้ถ้าหากว่า คนบางคนนับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นคนพุทธ แล้วก็ประกาศตนว่า ฉันคือพุทธศาสนิกชน แต่ว่าไม่เชื่อเรื่องศีลเรื่องธรรม คือท่องได้ แต่ว่าไม่เชื่อ ใจไม่เอา

 

ยกตัวอย่างง่ายๆ เลย ปัจจุบันมีมากนะ ที่บวชไปแล้วก็ไม่ได้ถือพระวินัย ไม่ได้มีความละอายที่จะก่อบาปก่อกรรม นี่คือเรียกว่าให้ท่องน่ะท่องได้ แล้วก็ได้มากกว่าชาวบ้านเขาด้วย แต่ใจไม่เชื่อ ไม่เอาเลย

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นชาวพุทธ แล้วถ้าหากว่ารู้กฏกติกาธรรมชาติ แต่ไปละเมิดกติกาธรรมชาติ ผิดศีลผิดธรรมทุกวัน ทุกข้อ อย่างนี้ก็ได้รับผลเป็นเวรเป็นภัย ตามธรรมชาติของกฏแห่งกรรมวิบาก โดยไม่ได้มีความเป็นพุทธ หรือธรรมชาติของความเป็นพุทธศาสนิกชนมาช่วยอะไรได้

 

พูดง่ายๆ สรุปง่ายๆ นะ จะนับถือ หรือไม่นับถือพุทธศาสนาก็ตาม ทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้กฏแห่งกรรมอยู่วันยังค่ำ

 

ถ้าหากว่า เรามองว่าพุทธศาสนา เป็นเพียงศาสนาที่เปิดโปงกฏเกณฑ์ธรรมชาติ เราก็จะทราบ เราจะเข้าใจว่าสิ่งที่เราทำๆ ไปนั่นแหละ คือสิ่งที่จะต้องได้รับผล ไม่เกี่ยวกับการนับถือศาสนาใดๆ เลยนะครับ

 

ทีนี้คือ สุดยอดของการนับถือพุทธศาสนาอยู่ตรงที่ว่า ถ้าหากเราเข้าใจถึงแก่นคำสอน เข้าใจว่า พุทธศาสนามาแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติของกรรมวิบากเป็นอย่างไร มีอยู่เรื่องหนึ่งคือ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ให้ทางออก จากการต้องมาทนทุกข์ด้วยการเวียนว่ายตายเกิด

 

ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรม เจริญสติ ในแบบที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ผลลัพธ์ที่จะได้เป็นพิเศษเดี๋ยวนี้เลย ก็คือว่าทุกข์น้อยลงทันที

 

เอาง่ายๆ คนจะมีความทุกข์หนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม ถ้ามองเห็นเดี๋ยวนี้เลยว่า ที่หายใจเข้า หายใจออกอยู่นี่ เป็นเพียงธาตุลมพัดเข้าพัดออก ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราเขา รู้ว่าลมหายใจเข้ามา แล้วต้องออกไปเป็นธรรมดา รู้ว่าเดี๋ยวมันก็ยาว เดี๋ยวมันก็สั้นเป็นธรรมดา เกิดความรู้สึกว่า ลมหายใจนี้ กำลังแสดงให้เห็นว่า ตัวของเรา ตนของเราจริงๆ แล้วไม่มี มีแต่ปัจจัยอะไรต่างๆ ที่ประชุมกัน ประกอบกันชั่วคราว แล้วทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวมีตน มีความคาดหวังว่า ตัวตนนี้จะได้อย่างนั้น ได้อย่างนี้ ไม่เจออย่างนั้น ไม่เจออย่างนี้ เป็นแค่อุปาทาน เป็นแค่ความสำคัญผิดของจิต เป็นความยึดมั่นที่ไร้แนวทาง เป็นความยึดมั่นที่ไม่มีทางออก ไม่มีทางคลี่คลาย

 

พอเห็นเข้าไปแบบนี้ เห็นเข้าไปที่สภาวะทางใจ ว่ายึดอยู่โดยเปล่าประโยชน์ ยึดอยู่โดยสูญเปล่า ยึดอยู่ว่าไอ้นั่นไอ้นี่เป็นตัวเป็นตน แม้กระทั่งลมหายใจก็ลมหายใจของฉัน เห็นความสำคัญผิดตรงนี้ แล้วถอนความสำคัญผิดเสียได้ ที่วินาทีนี้เลย ความทุกข์ลดลงทันที

 

จากเดิมที่มองเห็นชีวิตเป็นก้อน มองเห็นชีวิตเป็นอะไรอย่างหนึ่ง ที่เป็นตัวเป็นตน จะกลายมาแบ่งส่วน มาแยกเป็นส่วนๆ ว่า ลมหายใจก็ไม่เที่ยง อิริยาบถที่กำลังนั่งอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ ก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เกร็งเนื้อเกร็งตัว เดี๋ยวก็สบาย เดี๋ยวก็ผ่อนคลาย หรือความทุกข์ความอึดอัดใดๆ ก็ตามที่กำลังเผชิญ ที่กำลังประสบอยู่ เป็นแค่ก้อนความอึดอัด เป็นแค่แรงกดดัน ที่เกิดจากการยึดมั่นผิดๆ

 

พอความยึดมั่นหายไป เห็นว่าลมหายใจก็ไม่เที่ยง อิริยาบถก็ไม่เที่ยง ความทุกข์ความสุขอะไรต่างๆ ก็แค่เหตุประชุมกันแป๊บหนึ่ง แล้วเดี๋ยวก็คลาย ก็หายไป ไม่มีตัว ไม่มีตน เห็นอยู่เดี๋ยวนี้เลย ก็มีความสุขขึ้นเดี๋ยวนี้เลย ก็มีความทุกข์น้อยลงเดี๋ยวนี้เลย และถ้าเห็นอยู่เรื่อยๆ เจริญสติอยู่บ่อยๆ ในที่สุดก็กลายเป็นการพ้นทุกข์ถาวรขึ้นมา

 

อันนี้แหละ คือความหมายของการนับถือพุทธศาสนา คือเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น เข้าใจว่า จะเอาต้นเหตุของความทุกข์ออกไปได้อย่างไร

 

สรุปสั้นๆ นับถือหรือไม่นับถือพุทธศาสนาก็ตาม กรรมไม่ได้มีการลดหย่อนผ่อนโทษ และไม่ได้มีการเพิ่มพูนขึ้น ไม่ใช่ว่านับถือศาสนาอื่นแล้วทำบาปทำกรรม จะได้ลดหย่อนผ่อนโทษ หรือต้องทวีโทษหนักขึ้น

 

แต่ผลอันเป็นที่สุดก็คือ ถ้านับถือพุทธศาสนา มีสิทธิ์ได้พ้นทุกข์จากวิธีเจริญสตินะครับ!

_________

คำถามเต็ม : ถ้าไม่ทำบุญ ไม่เลื่อมใสศาสนาใด แต่ก็ไม่ทำผิด อนาคตจะเป็นเช่นไร?

รายการ ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง คำถาม-คำตอบ

วันที่ 17 มีนาคม 2561

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=LVRryS8618A

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น