วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๖๙ การสูญเสียบุคคลที่เรารัก

ถาม : ถ้าเราต้องสูญเสียลูกหรือพ่อแม่อันเป็นที่รัก จะรับมืออย่างไร?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/zN0V7zcoW2Y?


ดังตฤณ: 
เป็นคำถามที่ถือว่าเข้าประเด็นของพุทธศาสนาเลยนะครับ พุทธศาสนาบอกว่า ทุกข์อันดับหนึ่ง ทุกข์หมายเลขหนึ่ง ความทุกข์ซึ่งมีดีกรีสูงสุดเลย เห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่าการต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตายก็ตาม

การที่เราจะทำใจหลังจากที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ณ วันเกิดเหตุ ณ จุดเกิดเหตุเนี่ย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันเนี่ยนะครับ มันจะมีพลังผูกมัดใจเข้าไว้ด้วยกันของคนอยู่ร่วมกัน

โดยเฉพาะคนที่อยู่ด้วยกันมาดีๆ อยู่บนเส้นทางบุญมาด้วยกันเนี่ยนะครับ มันจะมีแต่กระแสความรู้สึกที่อ่อนโยน ละมุนละไม แล้วก็มีความรู้สึกแสนดี มีความรู้สึกอ่อนหวาน มีความรู้สึกเหมือนกับทุกอย่างสว่างไสวไปหมดเมื่อมีกันและกัน แม้กระทั่งนั่งกินข้าวด้วยกันเนี่ยนะครับ มันก็เหมือนกับมีสายใยผูกพันระหว่างเรากับเขา จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่ง เราไม่รู้หรอกว่ามันแน่นแค่ไหน จนกระทั่งเขาต้องจากไป อาจจะจากไปต่างจังหวัด หรือจากไปต่างประเทศ หรืออาจจะจากไปจากโลกนี้ก็ตาม ถึงวันนั้นเราจะค่อยรู้ว่าเราผูกพันกับเขาหรือเธอมากแค่ไหน

การที่เราไม่เตรียมตัวเตรียมใจ หรือว่าไม่เตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้เลย แล้วจะถามว่า หากต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก จะให้ทำอย่างไร?’ ตรงนั้นมันสายเกินไปครับ

พระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้ไปทำใจหลังจากที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว

เพราะว่าอย่างบางคนเนี่ยนะครับ พอสูญเสียลูก สูญเสียสามีพร้อมกันในวันเดียวกันเนี่ยนะครับ หรือในเวลาไล่ๆกัน ในสมัยพุทธกาลเคยมีมาแล้วที่เป็นบ้า แล้วก็ผ้าผ่อนนี่หลุดเลยนะครับ ต้องให้ร้อนถึงพระพุทธองค์ต้องทรงช่วยกลับฟื้นคืนสติให้

วิธีที่เราจะไม่โศกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักมากเกินไป มีอยู่ทางเดียวคือ เราต้องเห็นความจริงไว้ก่อนว่า วันนึง เขาจะจากไปคือต้องมีการทำใจไว้เลยนะครับ

สมัยนี้เนี่ยก็มีวิทยาการมากมายหลากหลายที่จะบอกได้คร่าวๆ บอกได้ล่วงหน้านะครับว่า อาจจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อไหร่ ด้วยโรคอะไร ด้วยมะเร็ง หรือว่าด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่มันเป็นโรคกรรมพันธุ์ ที่มันเช็คได้ง่ายๆด้วยวิทยาการยุคใหม่เนี่ยนะครับ

หัดพูดถึงความตายกันบ้าง อย่าพูดถึงแต่การอยู่

ครอบครัวที่พูดถึงความตายเนี่ย บางครอบครัวกลัวว่ามันจะเป็นอัปมงคล ในขณะที่ครอบครัวพุทธเนี่ยนะ ได้รับการสนับสนุนจากพระพุทธเจ้าว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะพูดไว้บ้าง พูดไว้ เพื่อที่จะให้ใจเนี่ย ไม่เหลิง ไม่หลงไปว่าจะอยู่กันไปเรื่อยๆนะครับ ให้มันมีชะงักขึ้นมาสักกึ๊กนึง ให้มันมีความรู้สึกขึ้นมาสักจึ๊กนึงว่า ไอ้ที่อยู่ๆกันมีความสุขเหลือเกินอย่างนี้เนี่ย มันไม่ใช่ของถาวรนะ มันไม่ใช่จะเกิดขึ้นตลอดไปนะ แค่ได้พูดได้คุยกันบ้าง ก็เรียกว่าเป็นการเจริญมรณสติได้บ้างแล้ว เป็นการเจริญมรณสติแบบอ่อนๆแล้วนะครับ

ที่บอกว่าเป็นการเจริญมรณสติแบบอ่อนๆเพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นแค่การพูดกัน มันเป็นการเตือนให้ระลึกถึงความตายในแบบง่ายๆ ในแบบที่มันอาจจะคิดขึ้นมาสักวินาทีสองวินาทีว่า เออ! มีสิทธิ์ที่จะตายนะ พอทำบ่อยๆ มันก็กลายเป็นความเคยชิน

แต่ถ้าหากว่าจะเจริญมรณสติอย่างกลาง หรือว่าอย่างแก่กล้าเลยนะครับ อันนี้มีทางเดียวคือเราต้องค่อยๆหันเข้ามาดู เข้ามาพิจารณาว่า อะไรบ้าง ที่เป็นองค์ประกอบทางกายทางใจนี้ ที่มีความเที่ยง ที่มีความทน?’

นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจเลย มันไม่เที่ยงอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่คนเราไม่เคยเห็น ไม่เคยสังเกต ถ้าไม่สังเกต มันก็ไม่ยอมรับ คนเราเนี่ย จะมีแต่การเพ่งเล็งไปถึงสิ่งที่กำลังอยากได้เฉพาะหน้า ใจมันเลยผูกอยู่กับกิเลส ใจมันเลยผูกอยู่กับโลกภายนอกที่มันดูเหมือนกับจะมีอะไรมาล่อตาล่อใจมากขึ้นเรื่อยๆทุกวันๆ แต่ไม่ได้กลับไปสังเกตความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเองเลยนะว่า แม้กระทั่งลมหายใจ เรายังเอาไว้ไม่ได้ แล้วชีวิตทั้งชีวิต จะมีความเป็นไปได้ ที่เราจะรักษาไว้ได้อย่างไร?’

เมื่อเราไม่สามารถจะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้  ก็ไม่สามารถที่จะรักษาชีวิตของคนอื่นไว้ได้เช่นกัน

เนี่ย! มันต้องมองออกมาจากตัวเองก่อนนะครับ มองอย่างตระหนัก ลมหายใจของเราไม่เที่ยง ลมหายใจของคนอื่นก็ไม่เที่ยงเช่นกัน อิริยาบถของเราไม่เที่ยง อิริยาบถของคนอื่นก็ไม่เที่ยงเช่นกัน ความสุขความทุกข์หรือว่าจิตจะสงบหรือฟุ้งซ่านของเราเนี่ย มันก็ไม่เที่ยง ถ้าสังเกตอยู่ เห็นอยู่ แล้วก็เปรียบเทียบกับคนอื่น เออ! ของเขาก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน แยกดูเป็นส่วนๆอย่างนี้นะ รู้จริงเป็นส่วนๆอย่างนี้ ในที่สุดมันจะถอนจากความยึดมั่นถือมั่นว่า คนเราจะไม่ตาย คนรักเราจะไม่จากไปได้อย่างเด็ดขาดนะครับ

ถึงวันที่เขาไป เราอาจจะรู้สึกเสียใจ คือเป็นธรรมดานะครับ เราอย่าไปปฏิเสธเลย อย่าไปเล่นกับความรู้สึกว่า ฉันจะต้องไม่ทุกข์ เมื่อญาติอันเป็นที่รักเสียชีวิตไปแต่ให้เล่นกันตรงนี้ดีกว่าว่า ความยึดของเราเนี่ย มันยังรุนแรงแค่ไหน หรือว่ามีความผ่อน มีความบรรเทาลงไปแล้วจากการได้เจริญสติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนตามลำดับนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น