วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๗๔ ชีวิตหลังความตาย ต้องทานข้าวทานน้ำไหม?


ถาม : พ่อเสียครบ ๑ ปี ผมกับแม่ไปไหว้พ่อตามประเพณีจีน แม่บอกว่าเขาลืมเอาน้ำเปล่าไปไหว้ด้วย ผมคิดว่าแล้วผมจะทำบุญให้พ่อตามหลังตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่พอผ่านมา ๒ วันให้หลัง ป้าเขาฝันเห็นพ่อมาขอน้ำเขากิน แม่เลยยิ่งปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะไม่ได้ใส่น้ำเข้าไปในของของที่ไหว้ด้วย ผมอยากทราบว่า จริงๆแล้วชีวิตหลังความตายต้องทานข้าวทานอาหารมั้ยครับ?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/pXI9SrKYII4

ดังตฤณ: 

สิ่งแรกที่จะต้องคุยให้คุณแม่เข้าใจ อาจจะคุยผ่านการเอาหนังสือ หรือว่า การเอาซีดีธรรมะของครูบาอาจารย์ไปเปิดให้ท่านฟัง เลือกเฉพาะตรงที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำกรรมไว้อย่างไร ย่อมได้เสวยผลอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าทำกรรมไว้อย่างไรแล้วจะอาศัยกรรมของคนอื่นช่วยส่งไปให้ หรือว่าอุทิศไปให้ กรรมหลักๆ ที่ทำมาสั่งสมมาไว้จะเป็นตัวที่ไปสร้างภพสร้างภูมิ สร้างภาวะ คำว่าภพก็คือภาวะนั่นเอง สภาพนั่นเอง ที่จะเป็นสิ่งแวดล้อมให้ได้อยู่ดีกินดี อุดมสมบูรณ์ หรือว่า ขาดแคลน ยากจน การที่เราเข้าใจเอาว่า ญาติผู้เป็นที่รักสิ้นชีวิตไปแล้ว เรามีหน้าที่ต้องส่งบุญไปให้เขาถึงจะมีกินมีใช้ อย่างนี้ถือว่าเป็นการตั้งกฎแห่งกรรมขึ้นมาเองนะครับ ขอให้คุณแม่เข้าใจอย่างนี้ เลือกเอาซีดีของพระ เพราะบางทีคนเป็นลูกอธิบายมันจะยากนิดหนึ่ง แต่ถ้าเอาพระมาเทศน์ พระที่ท่านมีชื่อเสียง มีเครดิต น่าเชื่อถือหน่อย แล้วก็พูดเฉพาะเจาะจงในเรื่องเกี่ยวกับอะไรแบบนี้แหละ ชีวิตหลังความตาย สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่ใช่เป็นไปตามที่เราญาติส่งไปให้ทีหลัง คุณพ่อจะมีกินมีใช้แค่ไหนขึ้นอยู่กับกรรมของเขาเป็นหลัก ไม่ใช่ว่าเราแค่ไปทำบุญแล้วลืมส่งน้ำไป คุณพ่อถึงขั้นอดอยาก มันผิดหลักเกณฑ์ของกฎแห่งกรรมวิบาก ผิดหลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม การที่เราสามารถจะเอาความเชื่อที่ถูกต้องตรงตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำกรรมอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น เอาไปปลูกฝังไว้ในใจคุณแม่ได้ ถือว่าเป็นลูกกตัญญู ที่ได้ทำให้คุณแม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ถือว่าได้เป็นการตอบแทนพระคุณของแม่เลยทีเดียว เปลี่ยนจากความเข้าใจผิดให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องได้นี่ มันมีผลใหญ่หลวง

คือคิดง่ายๆเลยนะ ถ้าคุณแม่เชื่อ คุณแม่ศรัทธาในข้อนี้ ที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ท่านก็จะไม่หวังพึ่งคนข้างหลัง ถ้าสมมติว่าถึงเวลาของท่านนี่นะ ท่านจะไม่หวังว่าใครจะทำอะไรส่งไปให้ท่านรึเปล่า แต่ท่านจะหวังเอาเดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่กำลังมีชีวิตนี่นะ ทำอย่างไรที่เราจะตั้งจิตให้อยู่ในศรัทธาที่มั่นคง ทำอย่างไรจะตั้งจิตให้อยู่ในทานที่มั่นคง ทำอย่างไรจะตั้งจิตให้อยู่ในศีลที่มั่นคง เพราะนี่แหละคือที่พึ่งที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัส ลองไปหาที่พระพุทธเจ้าตรัสดูในอินเทอร์เน็ตง่ายๆเลย กรรมที่เราจะตอบแทนพระคุณบิดามารดาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ไม่ใช่การแบกพวกท่านไว้บนบ่าให้อึให้ฉี่บนบ่าของเราตลอด ๑๐๐ ปี แต่เป็นการเปลี่ยนจากความเข้าใจผิดของพวกท่านให้กลายเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องได้ และความเข้าใจที่ถูกต้องคืออะไร คือการทำให้ตัวเองมีที่พึ่งอย่างถาวร ที่พึ่งถาวรก็คือ มีศรัทธาที่ตั้งมั่น มีทานที่ตั้งมั่น แล้วก็มีศีลที่ตั้งมั่น ถ้าหากว่าเรามีความมั่นใจอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่ห่วงพะวงกับความเชื่ออะไรเล็กๆน้อยๆ ประเภทที่ว่าลืมถวายน้ำกับพระแล้ว เดี๋ยวบุญจะส่งไปไม่ถึงพ่อ

การที่คุณป้าหรือว่ามีญาติฝันเห็นคุณพ่อมาขอน้ำ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องความฝันของเขาเองก็ได้นะ หรือถ้าสมมติว่า พูดแบบสมมตินะ อย่าตีความเป็นจริงเป็นจังนะ ถ้าหากว่าคุณพ่อตัวจริงจะมาขอในฝัน มันก็ไม่เกี่ยวกับเรานะที่ลืมถวายน้ำแด่พระ แล้วไม่ได้อุทิศไปให้ท่าน ไม่เกี่ยวกัน มันเป็นกรรมของท่านเอง ถ้าท่านจะต้องอยู่ในสภาพแบบนั้น

การที่เราส่งไปไม่ใช่ไม่มีผลเลย มีนะครับ แต่ว่ามันมีชั่วคราว ถ้าหากว่าบุญที่ส่งไปมันถึงกันได้จริงนะ ภาวะของท่านจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างเปรตที่ยังจำสภาพความเป็นมนุษย์ได้ ยังผูกพันกับญาติบนโลกได้ แล้วก็เทวดาที่มีความสามารถจะอนุโมทนายินดีปลาบปลื้มไปกับผลบุญอย่างใหญ่ของญาติที่ยังอยู่ในโลก ถ้าพ้นไปจากนี้แล้วโอกาสที่จะส่งบุญไปแบบเป็นครั้งเป็นคราวนี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ปิดประตูเลย อย่างถ้าท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านไม่มีโอกาสที่จะมาปลื้มมายินดีกับผลบุญของเราได้แน่ๆ ไม่มีสิทธิที่จะล่วงรู้ได้แน่ๆ ว่าญาติในอดีตที่เคยอยู่ด้วยกัน ทำบุญส่งมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น