ถาม : ถ้าต้องอยู่กับคนที่มีบุญคุณ แต่เขาเป็นคนขี้หงุดหงิด
อารมณ์ขึ้นลงง่าย ชอบโมโห และชอบด่าว่าคนใกล้ตัวแรงๆในเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่อง
แม้บางครั้งเขาไม่ได้ว่าเรา แต่อากัปกิริยาหรือเสียงที่ว่าคนอื่นนั้น
ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจมากๆ ทำได้แค่เดินหนี แต่ก็เป็นไปไม่ได้ทุกครั้ง
เราควรจะหลบหลีกหรืออยู่ร่วมกับคนแบบนี้ได้อย่างไร?
เราอย่าไปตั้งความคาดหวัง
หรือตั้งเป้าไว้ในแบบที่เป็นไปไม่ได้ คือการอยู่ร่วมกับใครสักคนหนึ่งนี่นะ
มันบอกได้อย่างหนึ่งว่า มันมีผลของกรรมที่จะต้องรับอย่างไร
ถ้าต้องอยู่กับคนขี้หงุดหงิดง่ายและก็ชอบมีวาจาเสียดแทง
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็เกือบทุกคนในโลกนั่นแหละ ที่จะต้องเคยอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้
อย่างน้อยก็ต้องมีในช่วงชีวิตหนึ่ง มันต้องมีแหละ มันไม่ใช่บังเอิญ
มันต้องมีสายสัมพันธ์ระหว่างญาติ ระหว่างคนใกล้ชิดสนิท
หรือคนที่มีอิทธิพลทางใจกับเรา มันส่องสะท้อนว่า
เราก็เคยทำกับใครบางคนหรือหลายๆคนมาแบบนี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเจอหรอก
ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะอยู่ๆก็ถูกจับตัวมาวางไว้ในที่ที่จะได้รับความร้อนจากคนขี้หงุดหงิด
ไม่มีความบังเอิญหรอก แต่ในที่สุดแล้ว ทุกอย่างมันจะต้องต่างไป ความไม่เที่ยง
ความไม่อาจจะอยู่ยั้งค้ำฟ้าของคนเรา ทำให้รู้ได้ว่าทุกอย่างจะต้องต่างไป
ไม่ช้าก็เร็วแหละ
การที่เราไปตั้งความคาดหวังกับตัวเองว่า
อยู่ใกล้กับคนขี้หงุดหงิดแล้ว เราจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือน
ไม่ได้รับความกระทบกระทั่งทางใจ หรือเราจะไม่พลอยหงุดหงิดตามนี่ อันนี้ไม่ใช่วิสัย
มันเป็นการตั้งเป้าผิดๆ ซึ่งเราจะไม่มีวันสมหวัง
แต่ถ้าตั้งเป้าไว้ว่า
การอยู่กับคนขี้หงุดหงิดจะเป็นแบบฝึกหัด เป็นบทเรียน หรือว่าเป็นหลักสังเกต
เป็นจุดสังเกตว่าใจของเรามันพลอยร้อนรน หรือว่าเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาได้บ่อยๆ
คือตั้งเป้าไว้ต่างกัน คือไม่ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะไม่หงุดหงิดตามคนประเภทนี้
แต่ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเราจะอาศัยเขาเป็นเครื่องฝึกหัด สังเกตดูว่า เรามีความขัดเคืองตามเขา
ตามเสียง ตามสีหน้า ตามอากัปกิริยาที่มีความร้อน ที่เต็มไปด้วยความร้อน
แล้วนี่ใจของเรามันลุกเป็นไฟตามเขา หรือมีความขัดเคือง มีความระคายได้แค่ไหน
เมื่อสามารถสังเกตว่าใจของเรามีความร้อนได้แค่ไหน
มีความระคายได้เพียงใด เราก็จะค่อยๆเป็นผู้สังเกตไปด้วยว่า
ความร้อนแบบนั้นมันอยู่ได้นานแค่ไหน ซึ่งถ้าเราสังเกตอยู่เรื่อยๆทุกวัน เราจะพบว่า
สติที่เราสั่งสมใช้ไปในการสังเกตนี่นะ มันจะค่อยๆแก่กล้าขึ้นมา
เอาอะไรมาวัดความแก่กล้า
เอาตัวที่มันเห็นโทสะ เห็นความหงุดหงิด
เห็นความขัดเคืองที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้งนั่นแหละ มันอยู่ได้ไม่นาน
อยู่ได้ในระยะเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ
หรือการที่เราสามารถสังเกตจิตสังเกตใจของเราในระหว่างโมโหได้ออก
เวลาที่มีของกระทบกระทั่งพวกนี้เข้ามานี่นะ เรามองออกได้ว่า
จิตของเราไปผูกไปยึดหรือว่าเก็บมาคิดต่อ เก็บมาขัดเคืองมากน้อยเพียงไร พูดง่ายๆว่า
เห็นอาการผูกพันทางใจกับเสียง หรือว่าสีหน้าของเขา
ถ้าหากว่าเราเริ่มรู้สึกว่าการที่เราอยู่ใกล้คนที่มีแต่โทสะ
มีแต่ควันไฟ มันทำให้เห็นทั้งความไม่เที่ยง
และเห็นทั้งอาการผูกของทั้งจิตทั้งใจของใจเรากับสิ่งร้อนๆมันต่างไป
มันเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามความสมัครใจ ตามความกระตือรือร้นที่จะสังเกต
จะนึกขอบคุณเขาขึ้นมาในวันหนึ่ง
วันหนึ่งที่เราเก่งพอที่จะเห็นความขัดเคืองของตัวเอง เก่งพอที่เห็นเป็นเพียงสภาวะ
สภาวะหมายความว่าอะไร? หมายความว่าสีหน้าสีตาของเขา
หรือว่ามีสุ่มเสียงของเขามากระทบอยู่แล้วเร่าๆนั่นแหละ แต่ความขัดเคืองนั้น แสดงทั้งความไม่เที่ยง
แสดงทั้งความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนออกมาชัดขึ้นทุกที มันได้ความรู้ มันได้ปัญญา
มันได้สติอยู่กับตัวเราเอง
นี่คือหลักการง่ายๆเลย
ที่จะแปรเปลี่ยนของลบให้กลายเป็นของบวก
เปลี่ยนความรู้สึกแย่ๆกับใครบางคนให้เป็นความรู้สึกที่ดีกับเขา แล้วใจที่เกิดความรู้สึกดีๆกับเขาจริงๆ
มันจะเป็นใจที่มีเมตตาอย่างแท้จริง ทุกครั้งที่เกิดความขัดเคืองเราจะยิ่งรู้สึกว่า
เออ จะมีโอกาสฝึก โอกาสฝึกเรื่อยๆนี่จะเปลี่ยนเป็นความขอบคุณขึ้นมา
อันนี้คือใจความสรุป
แต่ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
ห้ามไม่ให้ตั้งเป้าไว้ว่าจะอยู่กับคนแบบนี้โดยไม่หงุดหงิด
แต่ให้ตั้งเป้าไว้ว่าเราจะหงุดหงิดโดยมีสติรู้ว่าในแต่ละครั้ง
ความหงุดหงิดมีอะไรให้เราดูบ้าง ตามหลักการเจริญสตินะ
แล้วในที่สุดเราจะเป็นผู้มีความเมตตาออกมาอย่างเหลือเชื่อทีเดียว
เป็นความมหัศจรรย์ของการเจริญสติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น