(ถาม – เราจะฝึกตนเองอย่างไรให้มีไหวพริบปฏิภาณดีถึงที่สุดครับ?)
การฝึกตนเองให้มีปฏิภาณ ก็คือ การไม่กลัวปัญหา ไม่กลัวที่จะออกไอเดีย
คือคนส่วนใหญ่นะครับ ถูกเทรนมาให้กลัวความผิด กลัวความพลาด เดี๋ยวจะโดนเยาะเย้ยถากถางบ้าง เดี๋ยวจะโดนดุโดนว่าบ้าง แล้วคือผู้ใหญ่เนี่ย มักจะลืมความจริงข้อนี้ เลี้ยงลูกกันมาแบบนี้แหละ เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานมา ลูกผิดนิด ผิดหน่อยอะไรเนี่ย ดุด่าว่ากล่าว แล้วก็ไม่ให้คำแนะนำ คือดุเฉยๆด่าเฉยๆแล้วไม่ให้คำแนะนำ ไอ้อาการแบบนี้เนี่ย มันจะฝังจิตฝังใจของมนุษย์นะครับ ให้โตขึ้นมาด้วยความกลัวผิด ความกลัวพลาด ไม่อยากโดนดุด่าว่ากล่าว ไม่อยากโดนเพื่อนเยาะเย้ย ล้อเลียน หรือว่าเอาไปประจานหรือว่าหัวเราะเยาะกันอะไรแบบนี้
ถ้าหากว่าเราเข้าใจ ‘ปมของมนุษย์’ นะครับ ว่ากลัวผิด กลัวพลาด เพราะว่าไม่อยากให้ใครดุด่าว่ากล่าวหรือมาล้อเลียนเนี่ย เราก็แก้ด้วยการที่เราตะลุยเลย คือกล้าที่จะผิด กล้าที่จะคิด กล้าที่จะออกไอเดีย ในสังคมออนไลน์ปัจจุบันเนี่ยมีเยอะแยะที่คน อย่างสมมติว่าเราจบวิศวะมา ก็มีคนมีปัญหาที่ไปถามในเรื่องเกี่ยวกับวิศวะ หรือว่าเราจบหมอมาก็มีคนไปไถ่ถามอยากได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการรักษาเนื้อรักษาตัวอะไรเนี่ย เรามีความรู้อะไรก็แล้วแต่ ที่เรารู้จริงๆเนี่ยนะครับ เข้าไปเลย กล้าออกความเห็น กล้าช่วยเค้าแก้ปัญหา พูดง่ายๆว่า กล้าเอาตัวเองเข้าไปช่วยคนอื่นคิด มันจะดีกว่าเอาตัวเองเข้าไปคิดปัญหาให้ตัวเองนะ เพราะว่าเวลาที่เราคิดแก้ปัญหาให้ตัวเอง บางทีมันจะรู้สึกเหมือนกับทึบๆ มันจะอยากให้ปัญหานี้หมดไปทันที มันจะอยากให้ใครสักคนนึงเนี่ยเป็นซุปเปอร์แมนมาช่วยเป่าฟิ้ว แล้วก็ปัญหาหายไปเลย นี่ถ้าแก้ปัญหาให้ตัวเองมันจะรู้สึกแบบนี้ แต่ถ้าแก้ปัญหาให้คนอื่นเนี่ยบางทีมันจะมีความรู้สึกนะว่า ใจมันเปิดกว้างก่อน มันเห็นใจเค้าก่อน แล้วก็มีความรู้สึกอยากช่วย ไอ้ความรู้สึกอยากช่วย ไอ้ความรู้สึกอยากจะขจัดปัดเป่าปัญหาให้คนอื่นเค้าเนี่ย มันจะทำให้วิธีการคิดของเราเนี่ยนะครับ มันเห็นแนวทางมีความหลากหลายมากกว่า มันไม่กลัวผิดมันไม่กลัวพลาด
นึกออกมั้ย เวลาที่เราจะช่วยใครเนี่ย ถ้าช่วยได้เราก็จะดีใจแต่ถ้าช่วยไม่ได้มันก็ไม่ใช่เรื่องของเรา นี่ธรรมชาตินิสัยคนจะมองกันอย่างนี้นะครับ ทีนี้ถ้าเราไปฝึกที่จะช่วยทุกวัน ฝึกที่จะหาอะไรสักอย่างนึงที่เป็นประโยชน์ในตัวเราเนี่ย เอาไปหยิบยื่นให้คนอื่นเค้า ไหวพริบปฏิภาณมันจะออกมาในแบบที่ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องบังคับ แล้วไม่กลัวผิด คือถ้าเราให้คำแนะนำไม่ถูก เดี๋ยวคนอื่นเค้าก็ให้คำแนะนำที่ถูกต้องออกมาเอง อะไรแบบนี้นะครับ พอคิดแบบนี้มันจะกล้าคิด แล้วปฏิภาณมันจะไหลลื่น มันก็ไหลลื่นออกมาจากความกล้าคิดเนี่ยแหละ แต่กล้าคิดอย่างเป็นประโยชน์นะ ไม่ใช่กล้าคิดแบบบ้าๆบอๆ
ทุกวันนี้รายการโทรทัศน์เอาอะไรออกมาเนี่ย ให้กล้าแสดงออกกล้าทำอะไรกัน แล้วเสร็จแล้ว ก็กล้ากับแบบที่มันบางที คือผมไม่ได้ดูทีวีนะ แต่ว่าก็เห็นข่าว มันไม่ค่อยจะจรรโลงใจเท่าไหร่นะครับ ก็ถ้าเรากล้าที่จะช่วยคนอื่น กล้าคิดดีเนี่ย ในที่สุดปฏิภาณมันมาเอง มันมาโดยที่ไม่ต้องไปเค้นนะครับ แล้วก็มันจะเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกว่าเหมือนกับมันพัฒนาตัวของมันไปได้เรื่อยๆวันต่อวัน แต่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆเป็นปีๆนะ ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้วมันจะเห็นผล ต้องทำให้ออกมาจากใจจริงๆ ปฏิภาณเนี่ยแหละมาจากตรงนี้แหละนะครับ
นอกจากนั้นก็ขอให้พิจารณานะ ในหลักการของอิทธิบาท ๔ เนี่ย พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้อยู่แล้วว่า การที่เรามีฉันทะในเรื่องอะไรสักเรื่องนึง มีใจรักที่จะทำอะไรซักเรื่องนึง แล้วก็ทำๆๆด้วยความขยัน ทุ่มสุดตัวให้กับมัน มีจิตใจจดจ่อ มีแต่สิ่งที่มันเป็นงานอยู่ในหัวของเราเนี่ยนะครับ มันจะเกิดความหลากหลาย มันจะเกิดการเห็น มันจะเกิดการเห็นความแตกต่าง แล้วก็สั่งสมประสบการณ์มากขึ้นๆ นี่ก็เป็นทางมาของปฏิภาณเช่นกัน ปฏิภาณมาจากการเห็นความแตกต่าง แล้วรู้ว่าจะจัดการแบบไหน ให้เกิดผลอย่างไร อุปสรรคมาแบบนี้ เราจะก้าวข้ามไปได้อย่างไร ไอ้การที่เรา เราอยู่กับงานอะไรมากๆซักอย่างนึง มันจะทำให้เกิดปฏิภาณในงานนั้นๆไม่มีเลยที่อยู่ๆปฏิภาณมันจะโผล่ขึ้นมาเอง ต่อให้เคยทำบุญในเรื่องของการมีปฏิภาณมากมาเนี่ยนะ ก็ไม่ได้ช่วยนะ ถ้าหากว่าใจของเราเนี่ยขาดประสบการณ์ ขาดการที่จะเข้าไปรู้เข้าไปเห็นอะไรมากๆนะครับ ถ้าขาดประสบการณ์อย่างเดียวเนี่ย ปฏิภาณมันก็เป็นได้แค่ว่าคิดเลขเก่ง บวกเลขเก่งอะไรแบบนั้น แต่ว่าจะไม่มีปฏิภาณในการแก้ปัญหาอย่างแท้จริงนะครับ
นอกจากนั้นเนี่ยก็มีเรื่องของการเจริญสติ ที่พระพุทธเจ้าตรัสนะว่าจะทำให้เกิดปฏิภาณได้ดี ก็คือ ผู้ที่เจริญกายคตาสติอย่างเต็มที่ กายคตาสติ หมายถึงว่า เรารู้ทุกลมหายใจเข้าออกเนี่ย รู้คือ ลมหายใจเข้าออกเนี่ย มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เรานึกได้เมื่อไหร่ เราก็เฝ้าดูเฝ้าตามมันไป ว่านี่กำลังเข้า นี่กำลังออก นี่กำลังยาว นี่กำลังสั้น นอกจากนั้นก็ดูว่าอิริยาบถเคลื่อนไหวไปยังไงอยู่นะครับ รู้ทั่ว รู้เท่าทันไปในอาการของกาย แล้วก็จะเกิดปฏิภาณขึ้นมาได้ นี่เพราะอะไร เพราะว่าสติเนี่ย เมื่อเกิดขึ้นต่อเนื่องแล้ว ในที่สุดเนี่ย มันก็จะเกิดความว่องไว มันมาจากลักษณะของจิต คุณภาพของจิตที่มีความว่องไว ก็จะทำให้ไม่ติดขัดเวลาที่จะคิด เวลาที่จะอ่าน คือมันจะเห็นทะลุ มันจะมีความรู้สึกว่าจิตของเราเนี่ยเปิดกว้างก่อน ใจที่เปิดกว้างเนี่ยสำคัญมาก เป็นด่านแรกของปฏิภาณเลย ถ้าหากว่าใจปิดแคบเนี่ย ไม่มีทางที่ปฏิภาณเกิด ถ้าหากว่ากำลังตื่นเต้น กำลังประหม่าเนี่ย ไม่มีทางเลยที่ปฏิภาณมันจะมาแสดงตัว แต่ถ้าจิตใจเปิดกว้างแล้วมีความรับรู้อย่างต่อเนื่อง มีสติอย่างต่อเนื่อง นี่แหละตัวนี้แหละที่เป็นฐานที่เป็นที่ยืนของปฏิภาณนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น