วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๒.๘๑ ศีลแปด กับโฟมล้างหน้ากลิ่นหอม

ถาม : หนูมีข้อไม่แน่ใจเรื่องการถือศีล ๘ ค่ะว่าสมควรหรือไม่ ในข้อของการห้ามประทินผิว คือตอนที่หนูถือศีล ๘ หนูจะใช้โฟมล้างหน้า สบู่ และยาสระผม ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เรื่องกลิ่นหมอที่เขาผลิตออกมา โดยเฉพาะเรื่องโฟมล้างหน้านี่แหละ สงสัยมากเลย นอกนั้นก็ไม่ได้ใช้อะไรเพื่อความงามเลยค่ะ ทั้งหมดที่กล่าวมามีเจตนาเพียงเพื่อทำความสะอาดร่างกายเท่านั้น แต่ก็ไม่แน่ใจอยู่ดีว่าสมควรหรือไม่?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/8mQEOMjdCro

ดังตฤณ: 
บอกว่าที่เคยดูตามกระทู้ต่างๆมา มันไม่ตรงกับประเด็นที่ว่าตัวเองสงสัย ก็เลยมาถามกันในครั้งนี้ เอาล่ะ ถ้าพิจารณาถึงเจตนา ที่ท่านไม่ให้ทำโน่น ไม่ให้ทำนี่ อย่างเอาเรื่องของศีลห้าก่อน ที่ท่านห้ามโน่น ห้ามนี่ ไม่ใช่เพราะว่านึกอยากจะห้ามก็ห้าม แต่ว่าห้ามไปแต่ละข้อมันกันเราจากโลกของการเบียดเบียนทั้งนั้นเลย นะ เรื่องฆ่าสัตว์ก็นี่ ไม่ต้องทำร้ายกัน ไม่ต้องเบียดเบียนกันเห็นๆเลยว่า ปลีกตัวออกมาจากโลกของการเบียดเบียนได้ ไม่ต้องลักทรัพย์ นี่ก็ปลกตัวออกมาจากากรไม่ต้องเบียดเบียนกัน ไม่ผิดประเวณีนะ นี่ก็คือไม่ต้องมีภัย ไม่ต้องมีเวร ไม่ต้องโกหกคนอื่น ไม่ต้องกินเหล้าเมายา บั่นทอนสติตัวเอง นี่ส่วนใหญ่คนจะไม่มองว่าทำไมถึงต้องมีศีลห้า ถ้าหากว่าเข้าใจเสียแล้วว่า ศีลห้าคือ มหาทาน

คือการที่เราเสียสละ ไม่ไปทำร้ายคนอื่น ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น แม้จะมีเรื่องยั่วยุให้น่าทำ ก็เท่ากับว่าเราละเว้นที่จะก่อเรื่องร้ายทั้งๆที่มีสิทธิก่อเรื่องร้ายได้ คนอื่นที่จะได้รับความเดือดร้อนจากเรา เขาก็รอดตัวไปนะ มีความปลอดภัย อยู่ได้ นี่คือจุดประสงค์ของศีลห้า

ทีนี้จุดประสงค์ของศีล ๘ คืออะไร คือการที่ คนคนหนึ่ง มีความเห็นค่าของการเจริญสติ หรือการทำสมาธิ ปลีกกาย ปลีกใจ ออกไปสู่ความวิเวก เมื่อมีความปรารถนาที่จะเอาดีทางจิตวิญญาณ มีความก้าวหน้ามีความสุขอันยิ่งใหญ่ มีใจที่เปิดกว้าง สว่าง สบาย มันสามารถทิ้งได้หมด มันจะมีความรู้สึกว่า อะไรๆไม่น่ายินดีเลย ถ้าหากว่า ขวางเราไว้จากความวิเวก วิเวกทางกาย วิเวกทางจิต อะไรก็ตามที่ยังทำให้เรามีความกระสับกระส่ายอยู่ได้ ทั้งทางกาย หรือทางจิต สิ่งเหล่านั้นเราสามารถทิ้งได้หมด เพราะเห็นแล้วว่า การลิ้มรสจิตที่มีความวิเวกนะ มันไม่มีสุขอื่นเสมอเหมือน เราเห็นอย่างนั้นก่อน แล้วเราจึงตั้งใจถือศีล ๘ ด้วยความเข้าใจว่า จะทิ้งเครื่องรบกวนจิตให้หมด

เมื่อเข้าใจอย่างนี้ เราถึง... (เสียงขาดหายไปประมาณ ๑๐ กว่านาที) ลูบไล้เครื่องประทินผิว ทำให้เกิดความรู้สึกไป หลงไป อุปาทานไปว่า เนื้อหนังนี้ดี มีกลิ่นหอม เย้ายวนใจ ต่างๆเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราพิจารณาแล้วว่า มันเป็นเครื่องรบกวนใจจริงๆ อย่างเช่น ฉีดน้ำหอม มันอยู่นาน จริงไหม แล้วเราก็ได้กลิ่นหอมจากตัวเองอยู่เรื่อยๆ มันก็เกิดความหลงยึดว่าตัวเรานี้หอม กายนี้หอม กายนี้ดี กายนี้เย้ายวน น่าสัมผัส น่าให้ใครสักคนมาหอม นี่ มันเกิดความรู้สึกปรุงแต่งขึ้นมา แล้วเป็นระยะเวลานาน นี่เขาถึงห้าม ท่านถึงห้ามว่า ไม่ให้มีการลูบไล้เครื่องประทินผิว แม้กระทั่งจะทำให้ผิวดูนุ่มนวลขึ้น ดูมีความลออองค์นะ ดูมีความน่าสัมผัสอะไรต่างๆ คือตัวเองนี่บางที คือไม่ได้อยากให้คนอื่นสัมผัสนะ แต่ตัวเองดูตัวเอง แล้วมีความรู้สึกว่า เออ มันเป็นอะไรที่นุ่มนิ่ม น่าจับต้องดี โดยเฉพาะผู้หญิงนะ หรือคนที่เริ่มจะออกอาการเบี่ยงเบนทางเพศก็จะเริ่มมาจากอะไรพวกนี้แหละ คือติดใจในความสวยความงาม ติดใจมากๆ มันกลายเป็นความโน้มไปทางการชอบแบบผู้หญิงได้นะ

หรือการที่เราไปนอนฟูกนุ่มนิ่ม มีความสบาย มันทำให้เกียจคร้าน มันทำให้จิตไม่วิเวก มันทำให้จิตกระสับกระส่าย ดิ้นรนที่จะนอนต่อ คือไม่ใช่ดิ้นรนที่จะลุกขึ้นมาทำงาน ลุกขึ้นมานั่งสมาธิอย่างมีความกระตือรือร้นนะ ต่างๆเหล่านี้เมื่อเราพิจารณาแล้วว่า อะไรบ้าง รบกวนจิตได้ ทำให้จิตเกิดอุปาทานได้ เราทิ้งหมด ถ้าโฟมล้างหน้า ในช่วงที่เราถือศีล ๘ อยู่นี่ มันเป็นความเคยชินที่เราจะใช้อุปกรณ์นั้น นะ แล้วเราเอามาล้างหน้านี่ โดยที่ไม่รู้สึกว่า กลิ่น หรือว่า ความสะอาดจากโฟมล้างหน้า หรือว่า ครีมบำรุงที่ผสมอยู่ในโฟมล้างหน้านี่ มันจะติดใจเราอยู่ได้นาน ก็ล้างไปเถอะ มันไม่ถึงกับผิดอะไร

แต่ถ้าหากรู้สึกถึงใจของตัวเองว่า นี่คือความพิเศษ นี่คืออะไรที่มันทำให้เราติดใจผิวหน้าของตัวเองได้ มันทำให้เรารู้สึกถึงความสวย ความงาม มันทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่วิเวก อยากจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของผิว ของความเป็นผู้หญิง แบบผู้หญิง นั้นก็สละเสีย คือ ใช้สบู่ธรรมดามันก็ไม่เสียหายหรอก แค่วัน สองวัน นะ หรือว่า ในช่วงเวลาที่เราถือศีล ๘ นี่ มันคงไม่ใช่นานอะไรมากมาย เนื่องจากต้องใช้ชีวิตปะปนอยู่กับคนในโลก ก็คิดเสียว่าเป็นการเสียสละความหวงแหนเนื้อหนังที่มันสวย ที่มันงาม ถ้าหากว่าเราเสียสละความหวงแหนตรงนี้ไม่ได้นี่ ก็ไม่สามารถจะขึ้น ยกขึ้นสู่การเจริญอสุภกรรมฐาน หรือว่า กรรมฐานเพื่อความปล่อยวางร่างกาย มันเป็นขั้นพื้นฐานนะ สละความหวงขั้นต้นไม่ได้ แล้วจะไปสละความหวงขั้นต่อๆไปได้อย่างไร

เอาล่ะ ก็พิจารณาที่ใจนะครับ ดูกันที่ใจว่าเรามีความยึด ความหลง อันเกิดจากการใช้โฟมล้างหน้าเพียงใด อันนั้นขอให้เป็นหลักตั้ง มันจะมีเรื่องคาบเกี่ยวกันอยู่แบบนี้แหละ ที่ว่า ไม่รู้ว่าผิดหรือไม่ผิด เพราะว่า โฟม ก็ถือว่าเป็นสิ่งทำความสะอาด แต่ถ้าสิ่งทำความสะอาดนั้นมันถึงขั้นที่ทำให้เกิดอุปาทานได้ เราก็ต้องพิจารณาละทิ้งนะครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น