วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๑๐ อยากโฟกัสจดจ่อกับงาน ดึงใจอย่างไร?

ถาม : เมื่อใจฟุ้งซ่านออกนอกตัวขณะกำลังทำงาน ใจซัดส่าย ไม่มีสมาธิ อันเกิดจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว จะทำอย่างไรจึงจะเรียกใจให้กลับมาจดจ่อกับงาน หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ข้างหน้าเป็นปัจจุบันได้?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/m2ZOjt0sUxQ

ดังตฤณ:
วิธีการง่ายที่สุด อย่าไปพยายามเค้นมากเกินไป เพราะอาการพยายามเค้นนี่มันจะเท่ากับไปเพิ่มความฟุ้งซ่าน เพิ่มความซัดส่ายเข้าไปอีก เนื่องจากอะไร? เนื่องจากการพยายามทำในสิ่งที่เราไม่สามารถจะทำ หรือว่าเกิดความอยากในสิ่งที่เราไม่ควรจะอยากนี่ ผลจะเป็นความปั่นป่วน ผลจะเป็นความรู้สึกกระสับกระส่าย นี่คือผลก่อนเลยนะ สมมติว่ายังไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ว่า เราจะอยากโฟกัสอยู่กับงาน หรือว่าโดนอะไรรบกวนนะ ถ้าหากว่าอยู่ดีๆ เรานึกอยากที่จะได้อะไรมาบางอย่าง ซึ่ง ณ ขณะนั้นมันได้มาไม่ได้ เรารู้อยู่แก่ใจว่ายังได้มาไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น อยากให้วันเกิดมาถึงไวๆ เดี๋ยวจะได้ของขวัญเยอะๆ เดี๋ยวจะได้มีคนมาพะเน้าพะนอเอาใจ เฮลโหล แฮปปี้เบิร์ธเดย์เรา วันเกิดนี่ อีกอาทิตย์หนึ่ง เราไม่มีทางไปเร่งให้มันมาถึงวันนี้ เป็นไปไม่ได้เลย อย่างไรก็ต้องรออีกเจ็ดวัน ถ้าเราอยาก อยากอยู่ทุกวัน เจ็ดวันก็หมายความว่า เราเพิ่มความฟุ้งซ่านให้ตัวเองมากขึ้นๆๆ โดยที่มันเป็นไปไม่ได้ ความรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เดี๋ยวนี้นี่แหละ ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกปั่นป่วนรวนเรขึ้นมาใหญ่

อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการดึงใจมาโฟกัสกับสิ่งที่เป็นปัจจุบันนะ

ถ้าหากว่าถูกรบกวน
ให้ยอมรับตามจริงไปว่า
มีคลื่นรบกวนมา
ให้ยอมรับตามจริงไปว่า
ใจเรากำลังปั่นป่วน ใจเรากำลังมีความฟุ้งซ่าน

เพราะถ้าหากว่าไม่ยอมรับอาการฟุ้งซ่านตรงนั้น
แล้วจะรีบดึงกลับมาทันทีทันใด
โดยที่ดึงไม่ได้
โดยที่มันไม่สามารถจะกำจัดคลื่นรบกวนได้
ก็เกิดความกระสับกระส่ายหนักเข้าไปอีก
 

แต่ถ้าหากว่า ณ เวลาที่มีคลื่นรบกวนมาแล้ว เรายอมรับตามจริง ด้วยใจที่มันไม่ได้อยากที่จะสงบทันที เรายอมรับตามจริงว่ากำลังมีความปั่นป่วนอยู่ในใจเรา กำลังมีความรำคาญอยู่ในใจเรา กำลังมีโทสะอยู่ในใจเรา อันนี้อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ใจเราจะสบาย ไม่มีความกระสับกระส่ายเพิ่มขึ้น กระสับกระส่ายอยู่แค่ไหนมันกระสับกระส่ายอยู่แค่นั้น มันไม่เพิ่มขึ้น พอเห็นความกระสับกระส่ายในระดับที่มันเกิดขึ้นตามจริงนะ อย่างน้อยที่สุดเราจะมีแก่ใจ มีความสามารถที่จะบอกตัวเองให้กลับมาอยู่กับโฟกัสของงานตรงหน้า โดยไม่มีความกระสับกระส่ายเพิ่ม ถ้าหากว่าเราโฟกัสกับงาน แล้วยังรู้สึกว่าไม่สามารถอยู่กับงานได้อีก ก็ให้มองแล้วว่า ตรงนี้เป็นความไม่สามารถที่จิตจะเชื่อมต่อได้ติดกับงานตรงหน้า

อันแรกคือ เรายอมรับตามจริงว่ามีคลื่นรบกวน คลื่นรบกวนจากภายนอก มาก่อให้เกิดคลื่นรบกวนภายในเรา แต่พอเราไม่เกิดความอยากจะให้คลื่นรบกวนตรงนั้นมันหายไปทั้งภายนอกและภายใน ใจเราก็สามารถที่จะมาโฟกัสกับงานได้ใหม่

ถึงแม้ว่าพอเรากลับมาโฟกัสกับงานแล้ว
เราจะสังเกตได้ว่า ยังต่อไม่ติด ยังเชื่อมไม่ติด
ใจมันยังกระสับกระส่าย
เราก็สามารถเห็นได้ว่า ภาวะแบบนั้น
เรียกว่าภาวะที่ใจไม่สามารถเชื่อมติดอยู่กับงาน
พอสามารถเห็นได้
อย่างน้อยที่สุดมันไม่สูญเปล่าแล้ว
!

สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคลื่นรบกวนความฟุ้งซ่าน หรือว่าความไม่สามารถเชื่อมติดได้กับงานนี่ มันถูกดูแล้ว พอมันถูกรู้ เราก็รู้สึก เออ ได้มีสติ เห็นอะไรบางอย่าง การรู้สึกว่าสามารถมีสติเห็นอะไรขึ้นมาบางอย่าง ณ เวลาที่กำลังจวนตัว ณ เวลาที่กำลังมีความต้องการความช่วยเหลือ อยากได้ตัวช่วย จะรู้สึกเหมือนเราสามารถเห็นอะไรบางอย่างได้ นี่แหละ ตัวนี้มันจะทำให้ใจชื้นขึ้น มันจะทำให้เกิดกำลังใจว่า เราไม่ได้เสียเวลาไปเปล่าๆ เรากำลังเจริญสติ สติของเรากำลังเจริญขึ้นนิดหนึ่ง

พอมีความใจชื้นนี่นะ ตัวนี้ก็จะค่อยๆ ทำให้จิตใจ และร่างกายมันสงบลง ณ ที่ของปีติ ณ ที่ของความอิ่มใจ จำไว้นะ มันมีความสามารถที่จะระงับความกระสับกระส่ายได้ แต่ถ้าหากว่าเรายิ่งไปเร่ง ยิ่งไปร้อน ยิ่งไปอยาก อันนั้นมันยิ่งเพิ่มความกระสับกระส่าย หลักการมีง่ายๆ แค่นี้นะ

ทดลองดู ต่อไปพอได้ยินเสียง หรือว่ามีภาพอะไรก็แล้วแต่มากระทบหู กระทบตา ให้นิยามมันไปเลยแปะป้ายไปเลยว่านั่นเรียกว่า สิ่งรบกวน คลื่นรบกวนที่เกิดขึ้นในหัวมันมักจะเป็นผลตามมา โฟกัส ในงานหายไป เราก็มาสังเกตว่า ตอนนี้ถ้าหากเอาใจ เอาตา มาใส่กับงาน มันสามารถเชื่อมติดได้ไหม ต่อติดได้ไหม ถ้าเชื่อมไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเร่งร้อน ให้มองไปตามจริงว่า นี่ภาวะที่ใจไม่สามารถเชื่อมติดกับงาน มันเป็นแบบนี้ มันเลื่อนไปเลื่อนมา มันเบลอๆ มันเหมือนกับเราดำลงไปใต้น้ำแล้วลืมตาขึ้นมา แต่เมื่อไหร่ที่ภาวะเบลอๆ มันหายไป เราก็จะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อ นี่เห็นแล้วโฟกัสได้แล้ว เชื่อมติดได้แล้ว เรียกว่าเป็นการเห็น เรียกว่าเป็นการพัฒนาสติ เจริญสติในระหว่างทำงานได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น