วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๒.๒๒ อุทิศส่วนกุศลให้คนเป็น จะได้รับไหม?

ถาม : อุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เขาจะได้รับไหม หากไม่ทราบว่าเราอุทิศให้? การทำเช่นนี้จะช่วยบรรเทากรรมที่มีต่อกันได้หรือไม่?

รับฟังทางยูทูป :  http://youtu.be/PomWiwTLYXU

ดังตฤณ : ก็แยกเป็นข้อ ๆ นะ ตรงที่ว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่เขาจะได้รับไหม หากว่าไม่ทราบว่าเราแผ่เมตตาให้  ก็คงไม่ได้หรอกครับแต่ว่าเขาจะได้กระแสบวก กระแสที่เป็นกระแสด้านดีจากเรา  เพราะว่าจิตมันไม่สามารถที่จะรู้ความหมายของเจตนาจากกันและกันได้  แต่สามารถสัมผัสถึงความรู้สึกด้านดีหรือว่าด้านร้ายที่ออกมาจากกันได้  ยกตัวอย่าง

สมมติว่าตอนเช้าก่อนไปทำงานเรานึกแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้กับคนที่ทำงาน  ซึ่งกำลังมีเรื่องมีราวหรือว่าเกลียดชังหรือว่าพยาบาทกันมาเนิ่นนาน  ตอนสวดมนต์เราสวดอยู่คนเดียวเขาไม่ได้รับรู้ด้วย  ช่วงแรก ๆ ก่อนสวดมนต์เราก็อาจจะยังนึกโกรธนึกเกลียดนึกกินแหนงแคลงใจอะไรกันอยู่  แต่พอสวดมนต์ไปแล้วรู้สึกมีความสุข  ความสุขนั้นจะทำให้เรามีแก่ใจที่จะอภัยแล้วก็เผื่อแผ่ความสุขไปถึงทุกคน  รวมทั้งคนที่เราเกลียด เพราะอะไรถึงมีเหตุผลมากพอที่เราจะแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียด เพราะว่าเราสามารถสำรวจเข้ามาในจิตใจของเรา แล้วรู้สึกว่าเขาเป็นจุดดำจุดด่างกลางใจของเรา ใจของเราเองที่มันไม่ดี ใจของเราเองที่มันไม่สะอาด ใจของเราเองที่มีจุดบอด  พอเห็นอย่างนั้นก็เกิดความรู้สึกว่าอยากกำจัดจุดบอดทิ้ง อยากจะทำให้จุดมืดกลายเป็นจุดสว่าง อยากทำให้ความสว่างที่ยังกระพร่องกระแพร่ง มีความแหว่งวิ่น ได้เกิดความเจิดจ้า แล้วก็เป็นดวงขึ้นมา  นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมคนเราถึงมีแก่ใจที่จะให้อภัยเป็นทานแล้วก็แผ่เมตตาหรือ กระทั่งอุทิศส่วนกุศลให้แก่กันและกันได้ 

ถ้าหากว่าเราแผ่เมตตาอยู่คนเดียว อุทิศส่วนกุศลให้เขาอยู่คนเดียวก็จริง แล้วความสว่าง ความรู้สึกดี มันเกิดขึ้นกับเราเต็มที่  ผลคือพอเจอหน้ากันจุดดำที่เคยมีต่อกัน นึกออกไหมเวลาคนเราเกลียดกัน ต่างฝ่ายต่างจะรู้สึกถึงจุดดำที่มีต่อกันมันเหมือน 'ขั้วแห่งความมืด' ที่ขั้วเราก็มี ขั้วเขาก็มี  พอเราแผ่เมตตาให้แล้วจุดดำนั้นหายไปจากใจจริง ๆ อย่างน้อยชั่วขณะหนึ่ง อย่างน้อยชั่วขณะเช้านั้นที่เพิ่งแผ่เมตตาให้เขา อุทิศส่วนกุศลให้เขา  เจอหน้ากันเขาก็จะรู้สึกว่าจุดดำที่มันยังอยู่ในเขามีอยู่ แต่จุดดำที่อยู่ในเรามันเหมือนหายไป  ก็จะรู้สึกแปลกใจ  มนุษย์เราไม่มีความสามารถที่จะแปลได้ออกว่า นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเช้าก่อนมาที่ทำงานเราได้สวดมนต์แล้วก็แผ่เมตตาให้เขา มันไม่สามารถทราบมาได้ถึงขนาดนั้น  แต่ว่าสามารถรู้สึกได้ว่ากระแสที่ออกมาจากเราที่ควรจะมืดเหมือนกับเขามัน ต่างไป  มันเหลือแต่ขั้วของเขา ขั้วของเรามันสว่างขึ้นมา 

พอรู้สึกไปวันหนึ่งอาจจะแค่แปลกใจวันเดียว
แต่ถ้ารู้สึกอย่างนี้ทุกวัน 
ในที่สุดจุดดำที่อยู่ในขั้วเขามันจะค่อย ๆ หรี่ลง ๆ
และถ้าไม่มีเรื่องไม่มีราวไม่มีเหตุการณ์แย่ ๆ ระหว่างกันมาซ้ำเติมเข้าไปอีก
ในที่สุดจุดดำตรงนั้นมันจะหายไปจริง ๆ
นี่คือเรียกว่าสิ่งที่เราจะได้จากการแผ่เมตตาหรือกระทั่งอุทิศส่วนกุศลให้
มันได้กันตรงนี้ 

การอุทิศส่วนกุศลมันก็คือการแผ่เมตตาอย่างหนึ่ง  เพียงแต่ว่าเจตนาอยากจะอุทิศส่วนบุญที่เราได้ทำให้เขาได้รับบ้าง 

แต่ที่เขาจะได้รับจริง ๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
นอกเสียจากว่าเราจะพูดถึงการทำบุญของเราให้เขาฟัง
แล้วเขาเกิดความยินดีราวกับว่าอยากจะทำร่วมกับเราไปเดี๋ยวนั้นเลย
ถ้ามีโอกาสเขาอยากจะทำอย่างนั้นบ้าง
นี่เรียกว่าได้ส่วนบุญคือมันเข้าไปอยู่ในเจตนาของเขา
เราสามารถที่จะเอาบุญของเราผลักเข้าไปอยู่ในมโนภาพของเขา
ผลักเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของเขา
แล้วก็เกิดเป็นภาพความต้องการที่จะทำบุญ
หรือว่าทำดีอะไรแบบที่เราทำมาเช่นกันนะครับ 


สรุปก็คือ  ตอบโจทย์ว่าเขาจะได้รับหรือแปล่า ไม่ได้รับหรอก แต่ที่จะบรรเทากรรมมันมีส่วน  แต่หมายความว่าเราจะต้องไปเจอหน้าเจอตาเขาด้วยนะ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉย ๆ อยู่คนละซีกโลก เราอุทิศส่วนกุศลให้เขาแล้วเขาจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลเรา ไม่ใช่นะ เรื่องของจิตสิ่งที่จะได้กันจริง ๆ เป็นเรื่องของกระแสความรู้สึกที่กระทบกัน ประเภทที่ว่าอยู่คนละซีกโลกแล้วเราไปถวายสังฆทานมาแล้วเขาจะได้รับผลที่เรา ไปถวายสังฆทานมาด้วยกับเรา มันเป็นไปไม่ได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น