วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๑๑๗ ต้นตอของความฟุ้งซ่าน


ถาม : เมื่อมีความคิดฟุ้งซ่านมากควรทำอย่างไร?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/FVkqP6-xNt4

ดังตฤณ: 
ความคิดฟุ้งซ่านจัดๆนะ ก็เป็นอาการของใจ ที่มันอยู่ในภาวะที่ไม่พร้อมจะคิดอย่างเป็นระเบียบ มองอย่างนี้ก็แล้วกัน คือ

ถ้าคิดเนี่ย มันไม่ฟุ้งซ่านหรอก ถ้าคิดจริงๆนะ
แต่เพราะไม่ได้คิด
มันถึงฟุ้งซ่าน มันถึงกระจัดกระจาย
มันถึงได้มีอะไรที่เป็นเป้าล่อเยอะแยะไปหมด
จนไม่รู้จะจับตรงไหนนะ ไม่รู้จะจับเป้าไหนดี

หรือบางคนคิดฟุ้งซ่านในเรื่องๆหนึ่งที่กำลังคาใจอยู่ ที่กำลังไม่ได้อย่างใจอยู่

ความไม่ได้อย่างใจเนี่ย
ทำให้ไม่คิด มันคิดอะไรไม่ออก
มันมีแต่ความรู้สึก
รู้สึกอยากได้ หรือรู้สึกขัดใจ
ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่มันไม่ได้อย่างใจ
หรือกำลังขัดใจอยู่เนี่ยนะ
ที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วน
ก่อให้เกิดความรู้สึกว่า
เราไม่สามารถสงบจิตสงบใจอย่างมีความสุขได้

ตรงนี้นะพอเรารู้สาเหตุว่า แรงดันของความฟุ้งซ่านมาจากอารมณ์ ไม่ใช่วิธีคิดอย่างเป็นระเบียบ เราก็จะได้ดูเข้าไปที่ต้นตอได้ถูกต้อง คือแทนที่จะมาตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรจึงจะสงบจากความฟุ้งซ่านได้ กลายเป็นตั้งคำถามใหม่ว่า อะไรที่มันเป็นภาวะ เป็นแรงดัน เป็นแรงขับดันให้เกิดความฟุ้งซ่าน อารมณ์ไหน ตัวไหน

มันจะสืบเข้าไปที่ใจ ว่าอ๋อมันมีแรงดันอะไรบางอย่าง ที่ทำให้จิตมันงุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน ซัดส่าย ช่วงนี้เป็นกันเยอะนะ ช่วงกลางปี มันมีแรงขับให้เกิดความฟุ้งซ่านกันเยอะเลย ต่อให้เป็นคนที่เคยมีสมาธิ ต่อให้คนที่เคยมีความสงบมาก่อน มันเหมือนจะมีเหตุ หรือแม้กระทั้งทั่งไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้ มันเหมือนกับไม่สมเหตุสมผล ที่อยู่ๆฟุ้งซ่านขึ้นมา เอาเป็นว่า
จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ที่ขับดันให้ฟุ้งซ่าน
ขอให้บอกตัวเองว่า
ตอนนี้เราขาดวิธีคิดอย่างเป็นระเบียบ
ใจมันกำลังถูกขับดันอยู่ด้วยอารมณ์


คือต่อให้คุณรู้สึกว่ามันไม่ได้มีเรื่องอะไรที่เป็นสาระให้ฟุ้งซ่าน ให้มาเกิดความพะวง หรือเกิดความคิดถึงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มันฟุ้งซ่านขึ้นมาเอง

สืบลงไปที่จิตที่ใจตัวเองเนี่ย
จะรู้สึกถึงแรงขับดัน
มันจะมีเหมือนแรงดันออกมาจากข้างใน
อาจเป็นความอึดอันอัด
อาจเป็นความรู้สึกไม่สบายใจ
อาจเป็นความรู้สึกปั่นป่วนอยู่ลึกๆ
เหมือนกับทะเลที่มีคลื่น
โดยที่ลมมาจากไหนก็ไม่ทราบพัดมา
รู้แต่ว่ามีลม

พอเราเห็นถึงต้นตอที่เป็นความรู้สึกกดดันอยู่ข้างใน คุณจะเห็นเลยว่า ไอ้ระดับความกดดันให้ฟุ้งซ่านเนี่ยนะ มันมีมากบ้างน้อยบ้าง ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า นั่งกินข้าวเสร็จ แล้วรู้สึกเลื่อนลอย นึกไปถึงเรื่องน่าขัดใจ อยู่ๆลอยมาจากไหนไม่รู้ เรื่องน่าขัดใจนั้นอาจจะผ่านไปเป็นเดือนแล้ว ใบหน้าของบุคคลคนๆหนึ่งลอยขึ้นมาในหัว แล้วก็เกิดความรู้สึกเจ็บใจ เนี่ยเอาความเจ็บใจนั้นเป็นตัวตั้ง คืออย่าไปเอาใบหน้าบุคคล อย่าเอาเรื่องที่มันผ่านไปแล้วมาเป็นอารมณ์ แต่ให้เอาความรู้สึกเจ็บใจ คันอกคันใจ เป็นตัวตั้ง เป็นตัวโฟกัสบอกว่า นี่ตอนนี้เรามีความเจ็บใจอยู่ มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่

ไอ้ความกดดันตรงนั้น ที่มันรู้สึกแน่นอก
รู้สึกว่ามันคันขยิบอยู่ข้างในเนี่ยนะ
มันก่อให้เกิดความปั่นป่วน
แล้วก็จะได้เห็นว่า ไอ้ความคัน คันหน้าอก
หรือว่าความรู้สึกเจ็บใจ
หรือความรู้สึกที่มันไม่ดีประการต่างๆ
ที่มันอยู่เบื้องหลังความฟุ้งซ่านเนี่ย
มันไม่ได้มีระดับเท่าเดิมเสมอไป
บางทีมันคันมากขึ้นมาเนี่ยนะ
แต่หายใจสักทีนึง แล้วดูไปที่ความคันนั้นอีกที
อ้าว มันน้อยลง

หรือเกิดความรู้สึกไม่ได้อย่างใจ อึดอัด รู้สึกว่ามันอยากจะพุ่งออกไปคว้าอะไรซักอย่างหนึ่งให้ได้ ไอ้ความรู้สึกพุ่งๆนั้น ที่เป็นตัวต้นเหตุความฟุ้งซ่านนั้น ตอนแรกมันพุ่งมาก แล้วถ้าเราเห็นว่าจริงๆว่า มันมีหน้าตาพุ่งๆยังไง เดี๋ยวมันอ่อนกำลังลงได้

นี่ถ้าเราเล่นสนุกกับการเห็นต้นเหตุความฟุ้งซ่าน
ว่ามันไม่เที่ยง
ความฟุ้งซ่านมันจะพลอยลดระดับลงไปด้วย

แล้วเราจะเคยชินนะ
ฟุ้งซ่านขึ้นมาเมื่อไหร่
จะไม่เอาแต่คอยคิดว่าทำอย่างไรจะหายฟุ้งซ่าน
แต่หาต้นตอให้เจอ หาต้นตอทางอารมณ์
หาต้นตออันเป็นภาวะทางจิต
เพื่อสังเกตอนิจจังของมัน ความไม่เที่ยงของมัน
จนกระทั่งสามารถที่จะเห็นได้ว่า
ต้นตอไม่เที่ยง
และผลของความฟุ้งซ่านก็ไม่เที่ยงเช่นกัน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น