วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๑๑๙ ฝันร้ายซ้ำซาก ทำอย่างไรดี?


ถาม : เพื่อนของหนูเขาจะมีอาการฝันซ้ำๆเดิมๆ แต่ละครั้งก็จะเหมือนเดิม มันเป็นอดีตซึ่งเพื่อนของหนูเขาก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว ตื่นมาทีไรก็จะใจเต้น เหนื่อย ไม่ค่อยสดใส บางครั้งก็จะเผลอกลับไปคิดอีก มีวิธีไหนให้เลิกอาการแบบนี้ได้บ้างไหม?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/CPQt0OBUJCY


ดังตฤณ : 
อาการฝันซ้ำๆนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็เหมือนกับตอนลืมตาตื่นปกติก็ดูจะไม่ได้คิด ไม่ได้ไปเค้นกับสิ่งที่ผ่านมาแล้วสักเท่าไหร่ แต่ว่าพอหลับตาลงและอยู่ดีไม่ว่าดีนะ วันไหน คืนไหนที่ไม่สามารถพยากรณ์ได้ก็เกิดฝันขึ้นมาซะเฉยๆแบบนี้นะครับ ถ้าอธิบายตามกลไกธรรมชาติของจิตเนี่ย มันก็เป็นปมนะ คือมีปมอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิด ไม่ได้ไปวุ่นวาย หรือว่าไปคว้ามาจับต้องอะไรแล้วด้วยจิตสำนึกยามตื่น แต่ว่าปมนั้นที่มันฝังแน่นอยู่จริงๆเป็นตัวพิสูจน์การยึดมั่นถือมั่นในระดับของจิตอยู่ ก็จะแสดงตัวออกมาในรูปของความฝันที่มันเศร้าโศกเสียใจ มันไม่สมหวัง หรือว่ามันมีความบาดเจ็บอะไรก็แล้วแต่ที่มันไม่ได้ออกไปจากใจของเราตามที่เรานึกว่ามันน่าจะผ่านไปแล้ว

ผมยกตัวอย่างง่ายๆหลายๆคนนี่นะ ยังฝันเกี่ยวกับเรื่องในวัยเด็กอยู่ซ้ำซาก ทั้งๆที่ตอนโตขึ้นมาแตกต่างจากตอนเป็นเด็กมากแล้ว อย่างตอนเป็นเด็กบางคนนะโดนรังแก รังแกบ่อยมาก แล้วก็เป็นประสบการณ์ที่มีความเจ็บช้ำน้ำใจอย่างรุนแรง มีแอบไปร้องไห้ แอบไปโศกเศร้าอยากคิดฆ่าตัวตายอะไรต่างๆแล้วพอโตขึ้นมา อาจจะเรียนเก่ง อาจจะมีเพื่อนมากขึ้น อาจจะด้วยความที่มีความสามารถ เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตานะครับ ก็อาจจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่นอกจากจะไม่มีคนมารังแกแล้ว ยังมีคนมาชื่นชม ยังมีคนมาพยายามปกป้องอะไรแบบนี้ นี่ก็เหมือนกับปมอดีตในวัยเด็กเนี่ยไม่น่าจะเข้ามาแตะต้อง ไม่น่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรด้วยกับชีวิตแล้ว แต่ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ในความฝันมันยังอุตส่าห์ขุดขึ้นมา อุตส่าห์ที่จะเอามาเจ็บปวด อุตส่าห์เอามาแอบร้องไห้ อยู่ในขณะหลับ

คือพอเหตุการณ์มันเหมือนกับกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเนี่ย ความรู้สึกมันเหมือนเดิม ความรู้สึกมันโอ้โหย ชั้นนี่เป็นคนที่ไม่มีค่าเอาเลยนะ มีแต่คนอยากมารุมรังแก อยากจะมาทำร้ายอะไรแบบนี้ ก็เป็นตัวที่เราสามารถบอกได้ว่าจิตของเขาจริงๆนี่ จิตโดยธรรมชาติเนี่ยนะ เวลาที่เขายึดมั่นถือมั่นอะไรแล้ว มันเกินกว่าที่เราจะ… บางที่เนี่ยจำไม่ได้หรือนึกว่ามันไม่มีอยู่ แต่จริงๆแล้ว ลึกๆความรู้สึกว่ามันเป็นปมอยู่ในใจยังฝัง

ถ้าหากว่าช่วงไหนมีความสุขมากๆเลยนะ ก็อาจจะลืมไปเป็นปีๆไม่ฝัน แต่วันดีคืนดีมีอะไรมาสะกิดแค่นิดเดียวในระหว่างวันนะ เตือนให้เกิดความระลึกถึง หรือว่ามันมีความเชื่อมโยงไปใกล้เคียงกันเนี่ย หลับคืนนั้นก็อาจจะฝันขึ้นมาได้ นี่ก็เป็นเรื่องการทำงานของจิตที่ซับซ้อนพิสดาร แต่จุดใหญ่ใจความก็คือ จิตมันยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ถ้าหากว่าจิตมีความยึดมั่นถือมั่น ความซับซ้อนหรือปมต่างๆเนี่ย คุณไม่มีทางที่จะไปเคลียร์มันได้หมดเลย ศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ เขาเรียกไม่ไหวจะเคลียร์นะ มันเยอะ แล้วก็บางคนเนี่ยหนักกว่านั้นอีก คือไม่ใช่แค่มีปมวัยเด็กนะ มีปมตั้งแต่อดีตชาติก็มีนะ

ที่เมืองนอกเขาก็มีรายงานกันเยอะ อย่างบางคนฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฉากเหตุการณ์ หรือว่าเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบเห็น หรือว่าไม่ไป ไม่เคยไปในสถานที่นั้นๆมาก่อน จนต้องเดือดร้อนถึงจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาที่มีความสามารถในการสะกดจิต ก็ไปล้วงเอาจนได้ความว่า มันเป็นเรื่องในอดีตชาติที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ที่ระลึกมา ที่ฝันแล้วจำได้เนี่ย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆอะไรทำนองนั้น ก็ว่ากันไปนะครับ

เรื่องความยึดมั่นถือมั่นทางใจนะ สิ่งที่จะแก้ง่ายที่สุดนะครับ ก็คืออย่าไปคาดหมายว่ามันจะหายไป เพราะว่าถ้าเกิดมีความคาดหมาย มีความคาดหวังว่ามันจะหลุดไปจากจิตของเรานะด้วยการสั่ง ด้วยการพยายามที่จะให้มันหลุดออกไปดื้อๆเนี่ยนะครับ มันจะยิ่งตอกย้ำ มันจะยิ่งเหมือนกับไปส่งอาหารเลี้ยงให้อายุมันยืนออกไปอีก หรือพูดง่ายๆก็คือว่าที่มันรัดอยู่แล้ว เราไปเพิ่มแรงรัดมันเข้าไปอีกด้วยความคาดหวังว่าจะให้มันหายไป

ความอยากเนี่ยนะ ขอให้มองอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความทะยานอยาก ไม่ว่าจะอยากอะไรก็แล้วแต่ อยากในแบบเล็งโลภ อยากในแบบที่จะผลักไสให้มันพ้นตัวไป ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความทุกข์ทางใจ มันก่อให้เกิดความดิ้นพล่าน มันก่อให้เกิดความทุรนทุราย กระสับกระส่าย กระวนกระวาย ไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งได้ นี่คือโทษ นี่คือต้นเหตุของความอยาก

ทีนี้ ถามว่าถ้าหากเราจะให้มันหายอยาก โอเค คือห้ามไม่ให้สั่งตัวเองให้มันหายไปเนี่ย เราจะทำอย่างไร สิ่งที่ดีสุดนะครับก็คือว่า เราทำใจไว้ล่วงหน้านะครับว่า ทั้งหลายทั้งปวงที่มันเกิดขึ้นเนี่ย มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้วนะครับ เราจะเตรียมใจล่วงหน้าไว้อย่างไร ในทางที่จะปล่อยวาง ในทางที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น อันนี้ก็สำคัญนะครับ ย้ำข้อแรกนะคือว่า

ข้อ ๑ ห้ามไม่ให้ไปคาดหวังว่ามันจะหายไป เพราะมันยิ่งกลายเป็นรัดแน่นเข้าไปอีก มันยิ่งกลุ้มเท่าไหร่ มันยิ่งรัดเข้าไปมากขึ้นเท่านั้น

ข้อ ๒ คือว่าเมื่อเกิดอาการร้อยรัด เมื่อเกิดอาการยึดมั่นอย่างรุนแรงขึ้นมา ไม่ว่าจะอยู่ในขณะลืมตาหรือว่าในฝันก็ตาม ให้หาทางทำให้มันผ่อนคลาย หาทางทำให้มันวางลงไปซะ ทำให้จิตมันออกมา ถอนออกมาจากลักษณะยึดมั่นถือมั่นเป็นทุกข์ซะ

วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะเชื่อมต่อนะครับ ระหว่างคำสั่งของเรายามตื่นเข้าไปในขณะที่หลับฝันก็คือว่า อันนี้ที่ได้ผลนะ ก็คือทำจิตให้เป็นกุศลก่อนนอน อย่างเช่น สวดมนต์นะครับ จะเป็นสวดอิติปิโส หรือว่าจะแผ่เมตตา ทำสมาธิอย่างไรก็แล้วแต่ ที่คุณสามารถจะรู้สึกได้ว่า ก่อนนอนคุณมีความผ่อนคลาย มีความรู้สึกสบายใจ มีความรู้สึกว่าใจของเราเนี่ยสว่าง มีความผ่องใส มีความไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ถ้าหากว่าทำได้นะครับ ตรงนั้นคิดไว้ล่วงหน้าว่า…

หมายเหตุ –  สำหรับดังตฤณวิสัชนาตอนที่ ๘๑ นี้นะครับ ก็แบ่งออกเป็น ๒ ตอน เพราะว่าเมื่อครู่นี้ คอนเนคชันระหว่างผมกับทางสปรีกเกอร์ (http://www.spreaker.com) มันหายไปก็เลยต้องมาต่อใหม่

สรุป สำหรับคำถามแรกก็คือว่า ให้มีความสว่างทำกุศลอะไรสักอย่างหนึ่งจะเป็นสวดมนต์ก็ได้ จะเป็นนั่งสมาธิ หรือจะเป็นการเจริญสติด้วยวิธีใดๆทำให้เกิดความสว่างแล้ว เราตั้งใจว่าถ้าหากฝันร้ายแบบซ้ำๆอย่างเดิมอีก เราจะเอาความสว่างนี้ไปช่วย คือเวลาที่เกิดฝันร้ายขึ้นมาจริงๆอาจจะมาในรูปของการรู้สึกว่าตัวเองเนี่ย กลับไปสวดมนต์ใหม่ทันที หรือว่าไปนั่งสมาธิ หรือว่าเกิดสติรู้ขึ้นมาว่า นี่เป็นแค่ความฝันนะครับ แล้วความสว่างที่เราสร้างไว้แต่เดิมเนี่ยนะครับ ก็จะมาช่วยทำให้เราเกิดความรู้สึกตัวว่านี่เป็นแค่ความฝัน มันทำอะไรเราไม่ได้มากไปกว่านี้นะครับ ตัวนี้เนี่ย หลายๆครั้งเข้า ฝึกดูบ่อยๆมันจะเห็นผลนะครับ แล้วก็สามารถเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตเลย ไม่ว่าจะเป็นฝันร้ายแบบซ้ำๆอย่างไรก็ตามนะครับ เราจะเกิดความเชื่อมั่นในจิตที่เป็นกุศล ในจิตที่มีความสว่างของตัวเองว่าเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวได้อย่างถาวรจริงๆนะครับ ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งประเสริฐให้เรามากไปกว่ากุศลและก็บุญที่เราสร้างไว้


** IG *

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น