ถาม : การสะกดจิตสามารถทำให้หายจากภาวะกลัวหรือซึมเศร้าได้จริงไหมคะ? อธิบายในเชิงพุทธได้อย่างไร?
ดังตฤณ:
อย่างนี้นะ คือถ้าเอาในเชิงพุทธนี่
อดีตสัญญาก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาในปัจจุบัน
พูดง่ายๆว่าเราเคยถูกกระทบกระทั่ง ให้เกิดความทรงจำแบบไหน มีแรงประทับในทางที่เป็นกุศลหรืออกุศล
เมื่อสัญญาตรงนั้นมันผุดขึ้นมาจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่
จะด้วยลักษณะที่ความคิดในปัจจุบันมันไปดึงออกมา
หรือว่าเราไปพบภาพหรือได้ยินเสียงอะไรที่ไปกระตุ้นเตือนให้ระลึกถึงสัญญาเก่าๆที่มันเป็น
แย่มากๆหรือว่าดีมากๆก็แล้วแต่นี่นะ ตรงนั้นมันก็จะปรากฏสภาพของจิตราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราเดินไปกับเพื่อน
แล้วเห็นเพื่อนกำลังเดินข้ามถนนถูกรถชนอย่างนี้
เราอาจจะกลัวการข้ามถนนไปตลอดชีวิตเลย นี่เรียกว่า ตัวการเห็นภาพเพื่อนถูกรถชนนี่
มันฝังมันประทับแน่นเป็นอกุศลสัญญา เป็นนิมิตอัปมงคลอย่างเหนียวแน่น
อย่างฝังแน่นที่กัดลึกเข้ามาในจิตในใจ แล้วถ้าเราจะต้องเดินข้ามถนนอีก
อดีตสัญญานั้นนี่ มันก็หวนกลับมาทำให้เกิดความรู้สึกกลัว เกิดความรู้สึกสยดสยอง
เกิดความรู้สึกไม่อยากเห็นใครข้ามถนนอะไรแบบนี้
ถ้าเป็นในทางตะวันตกนี่ที่เขาศึกษามาว่า
วิธีถอนก็คือป้อนอินพุตใหม่ คือทำให้ตัวสัญญาเดิมถูกลบล้าง
หรือถูกอัพเดทใหม่ด้วยกระบวนการในการกระแทกความทรงจำอย่างใหม่เข้ามา
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาสามารถ ถ้าเป็นจิตแพทย์ที่มีสามารถในการสะกดจิตจริงๆนี่นะ
อาจจะด้วยอุบายวิธีที่ทันสมัย ใช้แสงใช้เสียง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่
ทำให้เราอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น
สามารถที่จะฟังคำสั่งได้แต่ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ภาวะของจิตแบบนั้นนี่มันจะคล้ายๆเข้าไปก่อนิมิตขึ้นมาได้แบบฝัน
เพียงแต่ถูกอินดิวซ์หรือว่าถูกเหนี่ยวนำด้วยคำจากจิตแพทย์ที่ผ่านการฝึกสะกดจิตมาอย่างดี
เขาอาจจะพาให้เรากลับไปที่เหตุการณ์ที่เราเห็นเพื่อนถูกรถชนอีกครั้งหนึ่ง
แล้วก็เปลี่ยนภาพใหม่ เปลี่ยนจากภาพที่เพื่อนถูกรถชนกระเด็น
กลายเป็นภาพที่เพื่อนสามารถเดินก้าวผ่านข้ามถนนไปได้อย่างปลอดภัย
ภาพใหม่ที่มันกระแทกเข้ามาเปลี่ยนความทรงจำเก่ามันก็จะทำให้เราดีขึ้น
เวลาที่จะข้ามถนนก็จะรู้สึกว่ากลัวน้อยลง
อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่จิตแพทย์เก่งๆก็สามารถทำกันได้ในปัจจุบัน
คือจิตแพทย์นี่ก็จะผ่านคอร์สการสะกดจิต
ซึ่งไม่ใช่สะกดจิตในความหมายของอะไรที่เป็นไสยศาสตร์
หรือว่าอะไรที่เป็นเรื่องลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจได้
เพราะเขาอธิบายเป็นเรื่องของคลื่นสมอง เป็นเรื่องของสภาวะทางใจ
คือสภาวะทางใจของทางตะวันตกนี่ คือเรื่องของการทำงานสมอง คำว่าไมนด์ของเขานี่
ไมนด์ (mind) ที่แปลว่าจิตใจในไทยนี่นะ
เขาหมายถึงการทำงานของสมองล้วนๆเลย แต่ทางพุทธเราจะบอกว่าเราก็ล้างสัญญาเก่าด้วยการใส่สัญญาใหม่เข้าไป
เหมือนกับถ้าเปรียบเทียบเอาที่เห็นชัดๆเลย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนเรานี่มีสัญญาวิปลาส
หรือว่าตัวความจำได้หมายรู้ที่มันบิดเบือน ผิดเพี้ยน ยกตัวอย่างเช่น
ท่านบอกว่าโดยสภาพทางกายของมนุษย์นี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีสักกระเบียดนิ้วเดียวที่มีความหอม
ที่มีความสะอาด มันมีแต่ความสกปรกล้วนๆ แต่ว่าด้วยเครื่องบำรุงผิว
ด้วยการประทินโฉมต่างๆทำให้ดูไปว่ามันเป็นของหอมของสะอาด
ท่านก็เลยให้ใช้สัญญาที่เรียกว่าอสุภสัญญา คือเป็นของจริง ของที่ระลึกได้ด้วยใจ
ระลึกได้ด้วยเหตุผลว่า เริ่มตั้งแต่ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง มานี่
มีส่วนไหนบ้างที่มันสะอาดจริงๆ มันเกิดขึ้นมาจากน้ำเลือดน้ำหนองทั้งนั้น
มันยืนพื้นอยู่บนเนื้อหนังที่สามารถจะหลั่งน้ำเหงื่อ ขี้ไคลออกมาได้
แล้วถ้ายังไม่ชัดพอก็ดูตอนที่เข้าห้องน้ำนี่ นั่งลงไปในส้วมนี่ อะไรมันหล่นลงมา
ไอ้สิ่งที่มันอยู่ภายในร่างกายของเรานี่ มันเป็นของดีหรือของเสียกันแน่
ถ้าเห็นไปเรื่อยๆเข้าก็เรียกว่ามีอสุภสัญญา
เป็นสัญญาที่ไม่วิปลาส นี่มันจะกลับกันเลยกับความรู้สึกของคนทั่วไป
หรือว่าถ้าใครบอกว่าตัวเองมานั่งเพ่งร่างกายโดยความเป็นถุงอึ ถุงใส่อึ ถุงใส่ฉี่
ก็หาว่าบ้า โดนหาว่าเพี้ยน แต่ถ้าหากว่าทางพุทธเราจะบอกว่านั่นเป็นการกลับสัญญา
จากวิปลาสให้กลายเป็นของที่มันตรงกับความจริงต่างหาก
เมื่อเกิดอสุภสัญญาแล้วมีประโยชน์อย่างไร
มีประโยชน์ตรงที่จิตมันจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในทางกาม มันจะมีสภาพที่ปลอดจากราคะ
แล้วสภาพของจิตที่ปลอดจากราคะนี่ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร มันก็มีความตั้งมั่น
เป็นสมาธิได้ง่าย อันนี้ยกตัวอย่างนะว่า
เราเปรียบเทียบกับทางพุทธนี่ในเรื่องของการที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดหรือว่าความจำได้หมายรู้นี่
มันเป็นไปได้จริงอย่างไรนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น