วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๕๘ สะกดจิตแก้ซึมเศร้า อธิบายเชิงพุทธ

ถาม :  การสะกดจิตสามารถทำให้หายจากภาวะกลัวหรือซึมเศร้าได้จริงไหมคะ? อธิบายในเชิงพุทธได้อย่างไร?

รับฟังทางยูทูป : youtu.be/ynCJHPqQBPo

ดังตฤณ: 
อย่างนี้นะ คือถ้าเอาในเชิงพุทธนี่ อดีตสัญญาก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาในปัจจุบัน พูดง่ายๆว่าเราเคยถูกกระทบกระทั่ง ให้เกิดความทรงจำแบบไหน มีแรงประทับในทางที่เป็นกุศลหรืออกุศล เมื่อสัญญาตรงนั้นมันผุดขึ้นมาจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ จะด้วยลักษณะที่ความคิดในปัจจุบันมันไปดึงออกมา หรือว่าเราไปพบภาพหรือได้ยินเสียงอะไรที่ไปกระตุ้นเตือนให้ระลึกถึงสัญญาเก่าๆที่มันเป็น แย่มากๆหรือว่าดีมากๆก็แล้วแต่นี่นะ ตรงนั้นมันก็จะปรากฏสภาพของจิตราวกับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งหนึ่ง

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเราเดินไปกับเพื่อน แล้วเห็นเพื่อนกำลังเดินข้ามถนนถูกรถชนอย่างนี้ เราอาจจะกลัวการข้ามถนนไปตลอดชีวิตเลย นี่เรียกว่า ตัวการเห็นภาพเพื่อนถูกรถชนนี่ มันฝังมันประทับแน่นเป็นอกุศลสัญญา เป็นนิมิตอัปมงคลอย่างเหนียวแน่น อย่างฝังแน่นที่กัดลึกเข้ามาในจิตในใจ แล้วถ้าเราจะต้องเดินข้ามถนนอีก อดีตสัญญานั้นนี่ มันก็หวนกลับมาทำให้เกิดความรู้สึกกลัว เกิดความรู้สึกสยดสยอง เกิดความรู้สึกไม่อยากเห็นใครข้ามถนนอะไรแบบนี้

ถ้าเป็นในทางตะวันตกนี่ที่เขาศึกษามาว่า วิธีถอนก็คือป้อนอินพุตใหม่ คือทำให้ตัวสัญญาเดิมถูกลบล้าง หรือถูกอัพเดทใหม่ด้วยกระบวนการในการกระแทกความทรงจำอย่างใหม่เข้ามา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขาสามารถ ถ้าเป็นจิตแพทย์ที่มีสามารถในการสะกดจิตจริงๆนี่นะ อาจจะด้วยอุบายวิธีที่ทันสมัย ใช้แสงใช้เสียง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ทำให้เราอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น สามารถที่จะฟังคำสั่งได้แต่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ภาวะของจิตแบบนั้นนี่มันจะคล้ายๆเข้าไปก่อนิมิตขึ้นมาได้แบบฝัน เพียงแต่ถูกอินดิวซ์หรือว่าถูกเหนี่ยวนำด้วยคำจากจิตแพทย์ที่ผ่านการฝึกสะกดจิตมาอย่างดี เขาอาจจะพาให้เรากลับไปที่เหตุการณ์ที่เราเห็นเพื่อนถูกรถชนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนภาพใหม่ เปลี่ยนจากภาพที่เพื่อนถูกรถชนกระเด็น กลายเป็นภาพที่เพื่อนสามารถเดินก้าวผ่านข้ามถนนไปได้อย่างปลอดภัย ภาพใหม่ที่มันกระแทกเข้ามาเปลี่ยนความทรงจำเก่ามันก็จะทำให้เราดีขึ้น เวลาที่จะข้ามถนนก็จะรู้สึกว่ากลัวน้อยลง

อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงแล้วก็เป็นสิ่งที่จิตแพทย์เก่งๆก็สามารถทำกันได้ในปัจจุบัน คือจิตแพทย์นี่ก็จะผ่านคอร์สการสะกดจิต ซึ่งไม่ใช่สะกดจิตในความหมายของอะไรที่เป็นไสยศาสตร์ หรือว่าอะไรที่เป็นเรื่องลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจได้ เพราะเขาอธิบายเป็นเรื่องของคลื่นสมอง เป็นเรื่องของสภาวะทางใจ คือสภาวะทางใจของทางตะวันตกนี่ คือเรื่องของการทำงานสมอง คำว่าไมนด์ของเขานี่ ไมนด์ (mind) ที่แปลว่าจิตใจในไทยนี่นะ เขาหมายถึงการทำงานของสมองล้วนๆเลย แต่ทางพุทธเราจะบอกว่าเราก็ล้างสัญญาเก่าด้วยการใส่สัญญาใหม่เข้าไป

เหมือนกับถ้าเปรียบเทียบเอาที่เห็นชัดๆเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนเรานี่มีสัญญาวิปลาส หรือว่าตัวความจำได้หมายรู้ที่มันบิดเบือน ผิดเพี้ยน ยกตัวอย่างเช่น ท่านบอกว่าโดยสภาพทางกายของมนุษย์นี่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีสักกระเบียดนิ้วเดียวที่มีความหอม ที่มีความสะอาด มันมีแต่ความสกปรกล้วนๆ แต่ว่าด้วยเครื่องบำรุงผิว ด้วยการประทินโฉมต่างๆทำให้ดูไปว่ามันเป็นของหอมของสะอาด ท่านก็เลยให้ใช้สัญญาที่เรียกว่าอสุภสัญญา คือเป็นของจริง ของที่ระลึกได้ด้วยใจ ระลึกได้ด้วยเหตุผลว่า เริ่มตั้งแต่ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง มานี่ มีส่วนไหนบ้างที่มันสะอาดจริงๆ มันเกิดขึ้นมาจากน้ำเลือดน้ำหนองทั้งนั้น มันยืนพื้นอยู่บนเนื้อหนังที่สามารถจะหลั่งน้ำเหงื่อ ขี้ไคลออกมาได้ แล้วถ้ายังไม่ชัดพอก็ดูตอนที่เข้าห้องน้ำนี่ นั่งลงไปในส้วมนี่ อะไรมันหล่นลงมา ไอ้สิ่งที่มันอยู่ภายในร่างกายของเรานี่ มันเป็นของดีหรือของเสียกันแน่

ถ้าเห็นไปเรื่อยๆเข้าก็เรียกว่ามีอสุภสัญญา เป็นสัญญาที่ไม่วิปลาส นี่มันจะกลับกันเลยกับความรู้สึกของคนทั่วไป หรือว่าถ้าใครบอกว่าตัวเองมานั่งเพ่งร่างกายโดยความเป็นถุงอึ ถุงใส่อึ ถุงใส่ฉี่ ก็หาว่าบ้า โดนหาว่าเพี้ยน แต่ถ้าหากว่าทางพุทธเราจะบอกว่านั่นเป็นการกลับสัญญา จากวิปลาสให้กลายเป็นของที่มันตรงกับความจริงต่างหาก

เมื่อเกิดอสุภสัญญาแล้วมีประโยชน์อย่างไร มีประโยชน์ตรงที่จิตมันจะไม่ยึดมั่นถือมั่นในทางกาม มันจะมีสภาพที่ปลอดจากราคะ แล้วสภาพของจิตที่ปลอดจากราคะนี่ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร มันก็มีความตั้งมั่น เป็นสมาธิได้ง่าย อันนี้ยกตัวอย่างนะว่า เราเปรียบเทียบกับทางพุทธนี่ในเรื่องของการที่จะเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดหรือว่าความจำได้หมายรู้นี่ มันเป็นไปได้จริงอย่างไรนะครับ  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น