วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๙๖ ทำอย่างไรให้ผู้อื่นเมตตาเอ็นดู?

(ถาม – สร้างเหตุอย่างไรถึงทำให้ผู้ใหญ่และเจ้านายที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย เกิดความเมตตาเอ็นดู?)

ความเมตตาที่มาจากผู้ใหญ่หรือผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะให้คุณให้โทษกับเรา โดยมากแล้วก็ต้องยอมรับว่ามาจากกรรมสัมพันธ์ส่วนหนึ่ง พูดง่ายๆก็คือ หากเรามีกรรมสัมพันธ์อันดีร่วมกับพวกท่านมาจากในอดีตชาติ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราจะนึกไม่ถึง อย่างเช่นบางทีอาจจะเกี่ยวโยงกับพ่อแม่เราหรือว่าตระกูลเรา หรือว่าหน้าตาของเราจะไปพ้องเข้ากับคนที่ท่านชอบหรือไม่ชอบอะไรทำนองนั้น ตามหลักจิตวิทยาก็มีอยู่ว่าเห็นปุ๊บ นึกถึงอะไรก็จะมีท่าทีมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาแบบนั้น เป็นชอบ เป็นชัง เป็นรู้สึกสนิท หรือว่ารู้สึกห่างเหิน เมื่อเราพูดถึงสิ่งที่มันจับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แล้วก็ไม่สามารถใช้ใจของคนธรรมดาๆที่คิดๆนึกๆ หรือว่าคาดเดาความหมายอย่างที่เห็นๆกันอยู่ในโลกประจำวันไปหยั่งรู้เอาว่าในอดีตเราเคยมีกรรมสัมพันธ์กับท่านมาอะไรอย่างไร เราพูดถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นกลางๆในกรรมปัจจุบัน

ถ้าหากว่าพิจารณาว่าทำอย่างไรแล้วจึงจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ประการแรกต้องเป็นคนมีน้ำใจ คือมีความคิดอยากเกื้อกูล คิดอยากที่จะเผื่อแผ่ คิดอยากที่จะช่วยเหลือ ใครต่อใครที่ตกทุกข์ได้ยากลำบากกว่าเรานะครับ แล้วก็เป็นคนที่มีศีล มีสัตย์ พูดง่ายๆคือว่านอกจากมีน้ำใจแล้วน้ำใจที่รินออกมาต้องสะอาดด้วยศีล สะอาดด้วยการรักษาหรือว่าสังวร ระวัง ไม่ให้ทำผิดคิดร้ายหรือไปเบียดเบียนใครเขา คือไม่ใช่ว่าเราจะไปมีความเมตตาหรือว่าไปรักษาศีลเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่จะให้คุณให้โทษกับเรา แต่ว่าจิตของเราต้องมีธรรมชาติเป็นความมีน้ำใจและความสะอาดจากการให้ทาน และรักษาศีลเป็นปกติ มันแกล้งกันไม่ได้จะไปให้ทานหรือว่าจะไปรักษาศีลเฉพาะกับคนที่เราอยากให้ เขาพึงพอใจกับเรา มันไม่ออกมามันไม่จริงมันไม่แท้มันไม่ใช่ของที่จะเป็นต้นเหตุ เป็นต้นตอของความเป็นที่รักอันแท้จริง

ความเป็นที่รักอันแท้จริงทั้งสิ้นสำหรับมนุษย์ และเทวดาต้องเป็นจิตที่มีเมตตา จิตที่มันเกิดจากการรินน้ำใจอันสะอาด ผู้ที่ให้ทานแล้วก็รักษาศีลเป็นประจำจะมีกระแสของเมตตาออกมาเอง โดยที่คนอื่นเขามองเข้ามา กี่ทีๆเขาก็รู้สึกเหมือนเดิม ว่านี่เองของจริง ของที่มันเป็นความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น แล้วก็ของที่เป็นความสะอาดไม่มีมลทิน ถ้าหากว่ายิ่งเรามาเจริญสติหรือปฏิบัติธรรมภาวนาจนกระทั่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นเอาน้ำใจและความสะอาดที่เกิดจากทานและศีลที่บำเพ็ญมาดีแล้วไปแผ่เมตตาเป็นประจำ จนกระทั่งได้ ‘อัปปมัญญาสมาบัติ’ พูดง่ายๆคือได้ฌานอันเกิดจากการแผ่เมตตา อันนี้นอกจากจะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายแล้วนะครับ ธรรมดาแล้วไฟไม่ไหม้ตัวนะครับ คือต้องมีเมตตาระดับอัปปมัญญาด้วย อัปปมัญญานี่ก็เข้าใจง่ายๆก็แล้วกันว่าจิตมีความตั้งมั่นอยู่แล้วก็สามารถที่จะให้ความเมตตาให้ความรู้สึกปรารถนาดีกับทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งศัตรู ต้องทำได้เป็นปกติ ถ้าหากว่าทำได้ก็ไม่ต้องไปพึ่งกรรมสัมพันธ์ในอดีตชาติ มาสนับสนุนหรือว่าส่งเสริมให้เป็นที่รัก แล้วได้กรรมในปัจจุบันที่ทำให้เราเกิดความเป็นที่เอ็นดู เป็นที่รักใคร่ แล้วกระแสที่ออกมาชัดเจนเลยว่า คนที่มีเมตตาก็จะเป็นคนที่มีความสุขกับความรัก คนธรรมดาจะแยกไม่ออก คือเขาไม่สามารถจะบอกได้ว่าที่เขานึกรักเรา นึกเอ็นดูเรา นึกอยากจะช่วยเหลือ นึกอยากจะสงเคราะห์ มันมาจากไหน จริงๆแล้วมันก็มาจากการได้สัมผัสความสุขจากเรานั้นแหละความสุข ความสุขทำให้เกิดความรู้สึกเอ็นดู ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอยากจะให้สภาพความสุขนี้ในเรามันตั้งอยู่นานๆ เพราะฉะนั้นเขาจะแห่กันเข้ามาอยากจะช่วยเหลืออยากจะประคองไอ้ความสุขแบบนี้ ที่มันเผื่อแผ่มาถึงเขาด้วยให้ยั่งยืนต่อไปนี้เป็นหลักธรรมชาติธรรมดาเลย ถ้าหากว่าเราสังเกตคนในที่ทำงานหรือว่าคนที่เรารู้จักสักคนในชีวิตจะต้องมีที่เหมือนกับมีความสุขอยู่ตลอดเวลา และความสุขนั้นเป็นอะไรที่เรานึกถึงยามที่เราเกิดความทุกข์ ยามที่เราเกิดความรู้สึกที่อึดอัด ยามที่เราเกิดความรู้สึกว่ามันหาทางออกไม่เจอ พอไปอยู่ใกล้เขาแล้วมันได้ทางออก มันได้ทางออกทางใจ ถ้าหากว่าเราเป็นที่ตั้งของความสุขอันเกิดจากความเมตตานะขอให้จำไว้เลย ไม่ใช่เฉพาะเจ้านายหรอก เทวดาก็ยังช่วยเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น