รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/sbj2mcZae7E
พอดีมีหมาจรจัดเข้ามาอยู่ในบ้าน
คือบ้านมีประตูรั้ว แต่ไม่มีกำแพงกั้นด้านข้างๆค่ะ ปลูกอยู่ร่วมกันกับญาติ
เปิดรั้วให้ออกไป ก็เข้ามาใหม่อยู่ดี
ทีนี้เค้ามากินอาหารที่หนูให้กับหมาของญาติค่ะ คือถ้ามีก็ให้นะ
แต่ไม่ได้ให้ทุกวันค่ะ ก็เลยไม่ยอมไปไหน มันติดน่ะ หมาเนี่ย อย่างนี้แหละนะ
คือพอให้อาหารมันปุ๊บนะ แล้วก็มันรู้สึกว่าเราจะช่วยมัน
หรือว่าจะมีเมตตากับมันเนี่ย ธรรมดาของหมาเนี่ย ถ้ารู้สึกว่ามันชอบใจ
ถ้ามันติดใจเนี่ย มันก็จะมาอยู่เรื่อยๆ
อันนี้เป็นเรื่องปกติของสิ่งมีชีวิตระดับนี้นะครับ คำถามก็คือ หมาเลยไม่ยอมไปไหน จริงๆบุญมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
แต่หนูไม่สะดวกที่จะเลี้ยงจริงๆ อะไรจะบาปกว่ากันคะ
ระหว่างเลี้ยงไว้แล้วเลี้ยงไม่ดี กับใจแข็งไม่ให้อาหาร เพื่อให้เขาไปที่อื่น
หรือจะแจ้งกทม. ก็ไม่สบายใจ
ผมเข้าใจความรู้สึกตรงนี้นะ
เพราะว่าก็เป็นเรื่องที่ว่า เราเคยให้อาหารมันแล้วเนี่ย
ความรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบกับความหิวของมันเนี่ย มันก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ทั้งๆที่เราไม่ได้ไปยื่นใบสมัครขอเป็นเจ้านายมันนะ แล้วก็ไม่ได้ไปตกปากรับคำ
หรือว่าสัญญิงสัญญาว่าจะให้ทุกมื้อ แต่พอเราเห็นเจตนาของมัน
เห็นความรู้สึกผูกพันของมันว่า เนี่ยมันมองว่าเรา มีหน้าที่ต้องให้มันแล้วล่ะ
เราก็จะรู้สึกขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า เราคงเป็นคนให้อาหารมันแล้วจริงๆ
เรื่องของความผูกพัน เรื่องของความรู้สึก
มันไม่เกี่ยวกับกรรมนะ โดยกรรมเนี่ย ถ้าหากว่าเราให้มัน
ก็ถือว่าเป็นการให้ทานสัตว์ ให้อาหารแก่สัตว์ อันนี้เรียกว่า เราได้บุญ
แต่ถ้าหากว่าเราไม่ให้มัน อันนี้ยังไม่ถือว่าเราทำบาป เราแค่ไม่ทำบุญต่อ
ถ้าจะเรียกว่าทำบาปเนี่ย หมายความว่าอาหารมันอยู่ตรงหน้าของมันนะ มีคนให้อาหารมัน
เราไปแย่งมันมา อย่างเนี่ยบาป แต่ถ้ามันมาขอแล้วเราไม่ให้เนี่ย เป็นสิทธิ์ของเรานะ
คือแค่เราก็ไม่ได้ทำบุญอย่างที่ผู้ถามเข้าใจอยู่แล้ว บุญมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
แต่จริงๆนะ มันมีเรื่องของการแลกกันนะ ระหว่างที่ว่าเราทำบุญด้วยความฝืนใจ
แล้วเสร็จแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดีกับมัน
กลายเป็นความผูกพันในแบบที่เจืออยู่ด้วยความไม่ชอบใจ ต้องคำนึงตรงนี้ด้วยนะ
คือเหมือนกับเราลองๆคิดว่าเป็นคนก็ได้ ตัวเราเนี่ย จริงๆแล้วใจเนี่ย ไม่ได้มีหรอก
แต่ไปช่วยเขา เสร็จแล้วเขาก็นึกว่าเราน่ะ มีน้ำใจกับเขา
มารู้สึกดีอะไรกับเรามากมาย เสร็จแล้วปรากฏว่าถึงเวลาหนึ่ง เราบอกว่า
เราไม่ชอบเขาหรอก เขามารู้ความจริงเข้า บางทีมันก็เฮิร์ตความรู้สึก
ทีนี้อย่างหมาเนี่ยนะ มันเซนซิทีฟนะ คืออย่างถ้าสมมติมันติดใจเรา แล้วมาคลอเคลีย
มาพยายามจะพันแข้งพันขา เสร็จแล้วเราแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ
แสดงออกซึ่งความรู้สึกว่า เหินห่างเป็นอื่นจากมันเนี่ย มันก็จะงง
ตอนแรกมันจะงงก่อนว่า เอ๊ะก็ให้อาหารมัน เป็นเจ้าของมันนี่ เป็นผู้ดูแลมัน มันมาแสดงความรัก
แต่เราแสดงความรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ มันก็จะงงก่อน แต่พอมากๆเข้าเนี่ย
มันจะเริ่มรู้นะ ว่าเราเนี่ยไม่มีความรู้สึกที่เป็นบวกกับมันหรอก แต่ว่าก็ให้มันนะ
ให้อาหารมันเหมือนกับเป็นหน้าที่
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนี่ย มันก็จะมีหมาน้อยใจเป็นนะ ลองๆคิดดูถึงความรู้สึกเราเนี่ย
ว่าเรารักใคร แต่เหมือนกับเขาก็เจียดเอาอะไรดีๆให้ แต่ไม่ได้มีใจ
แล้วเราสามารถรู้สึกได้ในระยะยาว ความรู้สึกเสียใจมันก็เกิดขึ้น
เนี่ยก็เป็นความผูกพัน ในทางที่ไม่ได้เป็นบุญซะตลอดทางทีเดียว
เพราะว่าบุญจะเกิดขึ้นได้แบบเต็มๆเนี่ย ก็มาจากความเต็มใจที่จะช่วยเหลือ
ที่จะเกื้อกูลกัน
เพราะฉะนั้นคำตอบก็คือว่า
ถ้าเราเพิ่งให้อาหารมันไปได้ไม่นานเนี่ย ก็ไม่จำเป็นต้องไป
สร้างความรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ สร้างความรู้สึกว่าต้องผูกพันกัน
ทั้งๆที่ใจเราไม่ได้มีตรงนั้นเนี่ย ทีนี้จะให้แนะนำว่า จะเอาไปปล่อย หรือจะแจ้งกทม.
อะไรนี่มันก็คงไม่ได้จะต้องไปถึงตรงนั้นนะ แต่ขอบอกอย่างนี้ก็แล้วกันว่า การไม่ให้
ไม่ได้หมายความว่าเราทำบาป การไม่ให้ ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนใจไม่ดี
แต่การไม่ให้ บางครั้งมันหมายถึงการที่เรารู้สึกว่า เออ มันไม่มีใจตรงนั้น
มันไม่ได้มีความปลื้มที่จะทำบุญตรงนั้น แล้วเราก็ไปทำบุญตรงอื่น
แล้วก็ไม่ต้องไปสร้างความผูกพันแบบหลอกๆขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีแก่ใจ
ถ้าหากว่า ลองอย่างนี้ก็ได้ เป็นทางออกที่อาจจะสวยงามในช่วงต้นนะครับ
พบกันครึ่งทางกับมัน ก็คือว่าเอาจานอาหารไปวางไว้นอกบ้าน บอกว่า ฉันจะเลี้ยงแกตรงนี้แหละ
ฉันจะเลี้ยงแกนอกบ้าน ไม่ใช่ในบ้าน ไม่ไปให้ความหวังกับมันไว้ตั้งแต่ต้นมือ
ตัดความหวังของมันซะ ตัดความคาดคิดว่า มันมีสิทธิ์ที่จะเข้าบ้าน
ถ้าจะให้อาหารเนี่ย มีอย่างเดียวเลยคือ ให้นอกประตูรั้ว
นานๆเข้าหมามันก็จะรู้ได้เองแหละ มันคงไม่หน้าด้านหน้าทนหรอกนะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น