วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๑๑๕ อยู่กับความกลัว ทำอย่างไรดี?

ถาม : เพื่อนเป็นคนกลัวเสียงเวลากลางคืน กลัวคนที่ชอบมาเดินรอบๆบ้าน แจ้งความแล้วก็ยังวิตกกังวล ทั้งที่รอบบ้านก็มีกล้องวงจรปิด แต่ยิ่งดูยิ่งกลัว สอนให้เขารู้จักฝึกเจริญสติ สวดมนต์ตามที่พี่บอก ฟังคำสอนของหลวงพ่อชา เขาก็ดีขึ้น แต่พอเหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นอีกก็จะเป็นอีก มันจะเกิดตอนเขาอยู่คนเดียว ฝากถามว่าเขาทำกรรมอะไรมา? และควรจะทำอย่างไร?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/sWGYuo3rflo

ดังตฤณ: 
เอาอย่างนี้ พูดเป็นกลางๆว่าการที่เราประสบกับเหตุการณ์ เห็นภาพทางตา ได้ยินเสียงทางหูแล้วเกิดความกลัวนี่ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความผิดปกติ หรือว่าไปก่อกรรมทำเข็ญอะไรมาเสมอไปนะครับ

ก็อยากให้มองตามที่มันเกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติว่า อะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกหวั่นไหว หรือว่าเสียงที่ทำให้เราจินตนาการไปต่างๆนานา เกิดความวิตกอะไรนี่ ก็ก่อให้เกิดความกลัวเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องคิดว่าเคยไปทำกรรมอะไรมาเสมอไป

ทุกคนนี่นะครับ มีความกลัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ความกลัวมันจะปรากฏขึ้นมาตอนไหนล่ะ? ก็ตอนที่ได้ยินเสียง หรือว่าเห็นภาพอะไรที่มันชวนผวานั่นเองนะครับ อะไรก็แล้วแต่ที่มันชวนให้นึกจินตนาการไปว่าสวัสดิภาพของชีวิตเรานี่ไม่ปลอดภัยแล้ว มันก็เกิดความหวั่นไหวเป็นธรรมดา

ทีนี้ถ้าพิจารณาดูในแง่แบบโลกๆ เราก็ได้ติดกล้องวงจรปิดไปแล้วนะครับ ถือว่าได้ทำการป้องกันตัว เตรียมที่จะสอดส่องสำรวจว่าความปลอดภัยของเรานี่ มันยังโอเคหรือเปล่า? เราจัดการไปแล้วในทางโลก

ทีนี้ ในทางธรรม เราก็มาพิจารณาว่า สิ่งที่เรากลัวจริงๆมันอาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งโอเคถ้าเป็นผู้หญิงนี่นะ มันก็น่าหวั่นไหวจริงๆเพราะว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม พยายามปกป้องตัวเองไว้แค่ไหนก็ตามนะครับ ปัจจุบันนี่มันก็ไม่สามารถจะประกันได้ว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราไปได้ยินขึ้นมา หรือว่าไปเห็นภาพอะไร แล้วชวนให้ระทึกจริงๆว่า เออ นี่กล้องมันช่วยเราดูได้เท่านั้นนะ แต่ว่าตาเราอยู่กับกล้องตลอดไม่ได้ แล้วก็กล้องนี่ มันดูอย่างเดียว มันชักปืนมายิงโจรไม่ได้ มาต่อสู้โจรไม่ได้ อันนี้มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาเป็นธรรมดาว่า เรายังไม่ได้มีสิ่งใดที่ปกป้องตัวเองได้จริงๆ

ถ้าหากว่ามองตามทางโลกแล้ว เราละไว้ครึ่งหนึ่งนะครับ ครึ่งของความรับผิดชอบ ไอ้ที่เป็นส่วนของเรื่องกรรมเรื่องอะไรต่างๆนี่ เราละไว้ก่อน เรามาพูดกันเรื่องว่าเราเตรียมการไว้โอเคแล้ว เรารับผิดชอบตรงที่จะมาสร้างรั้ว จะมาติดตั้งกล้องวงจรปิดอะไรต่างๆนี่นะครับ มันครึ่งหนึ่งนี่ เราจัดการไปเรียบร้อยแล้ว อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ที่เขาว่า มันต้องเป็นไปตามยถากรรม มันต้องเป็นไปตามโชคที่วิบากกรรม เขาจะออกแบบ เขาจะดีไซน์ไว้ให้ การที่เราได้ป้องกันตัวในทางโลกไว้ดีแล้วนี่ ก็มาคิดต่ออีกชั้นหนึ่งว่าเราจะป้องกันตัวด้วยธรรมะอย่างไร?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ในความหมาย เชิงลึกก็คือว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะครับ ต่อให้ถูกโจรฆ่าตาย ธรรมก็จะคุ้มครองเราไม่ให้ไปอบาย ไม่ให้ตกต่ำ อดีตชาติของพระพุทธเจ้า เคยถูกตัดมือตัดเท้านะครับ แล้วก็ธรรมะของท่านคือ เมตตาธรรม นี่คุ้มครองท่าน ถึงแม้จะมีสภาพตายอเนจอนาถในโลกมนุษย์ แต่จิตวิญญาณของท่านก็ได้ไปเสวยพรหมภูมิ ขึ้นไปอยู่บนชั้นพรหม เพราะว่ากระทั่งถูกฆ่าตายนี่ก็ยังมีเมตตา

ทีนี้เราเป็นผู้หญิง อาจจะเมตตาไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสมัยนี้นี่มันน่ากลัว ไอ้ความจิตหดนี่มันก็ทำให้เปิดจิตออกเป็นเมตตาไม่ออก ก็ต้องฝึก ฝึกตอนที่ยังไม่ได้เอาตาไปดูเอาหูไปฟัง ฝึกตอนที่ใจมัน กำลังยังมีสติ มีกำลังมากพอที่จะแผ่เมตตาได้ มันต้องฝึกกันทุกวันด้วยนะ เพราะว่าจิตมนุษย์โดยเดิมนี่ มันมีธรรมชาติที่พร้อมจะไหลลงต่ำ พร้อมที่จะปิดแคบ ปิดแคบด้วยความตระหนี่ มืดมนด้วยความกลัว ร้อนรุ่มด้วยความโกรธนะครับ

ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งที่อยู่ในโลกมนุษย์นี่ มันคอยจะ เบียดเบียนจิตให้มีความเป็นอกุศลมากกว่าจะมาเป็นกุศลได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือฝึกที่จะเปิดจิตเปิดใจเป็นเมตตา ตั้งแต่ก่อนที่จะมีอะไรมารบกวนให้แผ่เมตตาไม่ออก

เริ่มจากการที่ตั้งใจไว้เลย สวดมนต์นี่ ไม่ใช่สวดขอพร เพื่อที่จะให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาคุ้มครองเราจากโจรนะ แต่เป็นการเอาจิตของเราไปผูกกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยตรงเลย เสมือนกับว่าจิตของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ วิธีง่ายๆที่คนสมัยโบราณครั้งพุทธกาลท่านทำกันก็คือว่า ประกาศสรรเสริญคุณงามความดี ของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างเช่นที่เราสวดกันทุกวันนี่ อิติปิโส คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ความ ไม่ค่อยรู้ความหมายว่าสวดกันไปทำอะไร? สวดกันนะครับ เอาง่ายๆแบบที่จะว่ากันสั้นๆตรงนี้เลยก็คือว่า เพื่อจูนจิตของเราให้เข้ากันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนจิตของเราเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนานะครับ มีความเมตตาไม่มีประมาณ ไม่มีขีดจำกัด จิตของเราถ้าหากไปผูกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นแล้วนี่นะครับ ผูกกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะพลอยมีความเบิกบานและเปิดกว้าง มีความสว่างเป็นกุศลตามเหล่าท่านไปด้วย นี่คือพอยต์จริงๆที่สวดอิติปิโสกัน ระลึกถึงพระคุณท่านด้วย แล้วก็ทำให้จิตของเราผูกพันกับพวกท่านด้วย ไม่ใช่ขอแรงท่านมาช่วยปกป้องจากโจรนะครับ หรือว่าขอให้พวกท่านมาสอดส่องดูแลอย่าให้โจรเข้าบ้าน มันไม่ใช่แบบนั้น แต่เอาจิตของเราทั้งดวงเลยเป็นกำแพงขวาง ไม่ให้อะไรที่เป็นมลทิน อะไรที่เป็นภยันตราย เข้ามาเบียดเบียนได้

ถ้าจิตของเราแกร่งพอ ผูกพันกับพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างมีความแข็งแรงนะครับ แล้วก็มีความสม่ำเสมอทุกวันมากพอ คุณจะรู้สึกเลยว่า คลื่นรบกวนจากโลกภายนอก เข้ามา เบียดเบียน เราได้น้อยลง มันจะเหมือนมีความสว่างอย่างใหญ่ จะมีความสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองตัวเองอยู่ คุณจะรู้สึกไม่กลัว เพราะอะไร? เพราะว่าจิตที่เป็นกุศล จิตที่ผูกพันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตที่มีความสว่างตามสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วนี่นะครับ มันหดแคบยาก พอจิตไม่มีอาการหดแคบนี่ มันก็มีแต่ความรู้สึกเฉยๆ หรือเกิดความรู้สึกที่ดี เกิดความรู้สึกที่เบ่งบาน เป็นตรงกันข้ามกับความกลัว

ขอให้ลองดูนะครับ ลองดูตรงนี้ว่าถ้าหากเราจะกำจัดความกลัวกันจริงๆเราไปตั้งต้นกันที่นี่เลย ที่จิตที่ใจหาเครื่องอยู่ของจิตใจให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นความสว่าง แล้วดูซิมันจะยังกลัวอยู่ไหม? ถ้าเราทำได้ทุกวันจริงๆนะครับ สวดอิติปิโสเต็มปากเต็มคำเอาแก้วเสียงของเรานี่เป็นเครื่องบูชาสวดวันละหลายๆรอบ จนกว่าจิตจะมีความรู้สึกว่า เออ เรามีความสว่าง เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างนั้นได้นี่ใจจะมีเมตตา และใจที่มีเมตตานี่ ในทางลึกลับนี่นะ ถ้ามันกว้างมากๆ แล้วนี่ มันเปลี่ยนใจคนได้นะ อย่างสมมุติว่าถ้าโจรเขาจะเล็งเข้าบ้านเรานี่ คืนนี้ เออ บ้านหลังนี้ เอาสักหน่อยดีไหม มันเกิดเปลี่ยนใจได้นะ มันเกิดความรู้สึกว่าไม่อยากเข้า คือพอมองเข้ามาแล้ว มันมีความรู้สึกเหมือนกับบ้านนี้ไม่น่าเบียดเบียน เพราะว่ากระแสจิตที่ปรุงแต่งด้วยความสว่างแบบไม่เบียดเบียนกันนี่มันมี ความเข้มข้นจนกระทั่งทำให้จิตใจของโจรเกิดความรู้สึกเหมือนกับ ถ้าเข้าไปแล้วมันจะผิด เคยไหมที่คุณรู้สึกกะจะทำอะไรที่มันอยากทำเหลือเกิน แต่พอจะเอาเข้าจริงๆนี่ ใจมันเหมือนถอนออกมา ใจมันเหมือนยังไม่อยากเอาแบบไม่มีเหตุผล ซึ่งในทางลึกลับแล้วนี่ มันอาจจะมีพลังอะไรบางอย่างบันดาลใจเรา ดลใจเรา

ก็ยกเว้นนะครับว่า คือถ้าสมมุติว่า จะต้องใช้เวรใช้กรรมกันจริงๆนี่ อันนั้นเราก็ค่อยเตรียมใจไว้หลังจากแผ่เมตตาดีแล้วว่า จะขอใช้เวร ใช้กรรม ถ้าหากว่าจะต้องมีอันเป็นไป เพราะเหตุคือมนุษย์ด้วยกันจริงๆ เราจะถือว่าชาตินี้นี่ ก็ให้มันเป็นไปตามที่ อำนาจกรรม เขาคุมจักรวาลนี้ไว้อยู่

อำนาจกรรมไม่ใช่กุมเฉพาะชะตากรรมของมนุษย์นะครับ มันกุมได้กระทั่งว่าจะให้ดาวดวงไหนไปเรียงกันอยู่ในแบบที่จะก่อให้เกิดดาวเคราะห์บริวารที่มีมนุษย์เกิดขึ้นได้ หรือว่าจะเอาเฉพาะพวกที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันคุมได้หมดเลยทุกอย่าง ถ้าเราจะต้องเจออะไรแบบที่มันแย่จริงๆนี่ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเตรียมใจไว้นี่ อันนี้เขาเรียกว่าเผื่อใจไว้สำหรับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ถ้าเผื่อใจไว้หลายๆครั้ง เตรียมใจไว้หลายๆครั้งว่า ถ้าเราตายร้ายแต่จิตดีนี่ก็ได้ไปดี ได้ไปสุขคติ คิดไว้อย่างนี้บ่อยๆ ในที่สุดความกลัวมันหายไปเอง แล้วในที่สุดนะครับ จะมีปราการแก้ว ที่เราสามารถรู้สึกได้ว่าเราอยู่ในที่ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา มีความพอใจกับการที่จิตของเราผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์


และถ้าหากว่าจะให้จิตของเราผูกอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แน่นแฟ้นจริงๆ ต้องทำตามที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บอกแนวทางไว้ นั่นก็คือ หมั่นให้ทาน เลิกซะความตระหนี่ เลิกซะการผูกใจเจ็บ หมั่นให้อภัยทาน หมั่นให้ความรู้สึกดีๆ ความช่วยเหลือกับเพื่อนมนุษย์และสัตว์นะครับ แล้วก็รักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ นี่ตรงนี้นะครับ เราก็จะรู้สึกเหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองได้เอง ณ ที่นั่นนี่ ต่อให้โจรมาจริงๆ ก็ไม่กลัว คือกลัวไม่ใช่ไม่กลัวนะครับ แต่ว่าจะไม่กลัวตายขนาดปอดเลย หรือว่าขวัญหนีดีฝ่อ กระทั่งแค่ว่าเห็นเงา หรือว่าได้ยินเสียงอะไรตุ๊บๆตั๊บๆนี่ก็จินตนาการ จะไม่จินตนาการไปล่วงหน้าไกลเกินตัวนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น