ถาม - การแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรคนที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกในทางลบ
คิดว่าจะช่วยตัดกรรม ไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่ทำไมยังคงได้รับรู้เรื่องราวอยู่?
รับฟังทางยูทูป http://youtu.be/arF0dNcbopo
[ ดังตฤณ ]
การแผ่เมตตาไม่ใช่การที่จะตัดกรรม ตัดกรรมจำไว้เป็นคีย์เวิร์ดนะ ตัดกรรมมันตัดไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าเรามีอุปเทศวิธีหรือว่ามีหลักอุบายอะไรอย่างหนึ่งที่จะทำให้กรรมเก่ามันหมดการให้ผลได้ ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆง่ายๆสองตัวอย่างนะ อย่างเช่น พระพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกสำเร็จมรรคผล บรรลุมรรคผล ได้เป็นพระอรหันต์ผู้เลิศในโลก ผู้เลิศในอนันตจักรวาลแล้ว ท่านก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรเก่าๆ พูดง่ายๆคนที่เคยผูกเวรกันมาในอดีต อย่างเช่นพระเทวทัต หรือว่านางจิญจมาณวิกามาตามราวีได้ ท่านยังถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนได้ หรือแม้แต่โรคกรรมอย่างเช่น พระพุทธองค์เคยต้องปวดพระเศียรข้างเดียวจากการที่ได้ไปเคยเป็นลูกชาวประมงแล้วแค่ยินดี คิดยินดีว่าพ่อแม่พี่น้องหอบปลา หอบอะไรได้จากทะเลมากมาย แค่นั้นพระองค์ยังต้องปวดพระเศียรข้างเดียวเมื่อใกล้จะดับขันธปรินิพพาน
หรืออย่างพวกที่มักจะมีคำถามว่าเราจะส่งคนตายให้ไปดีได้มั้ย?
ลองคิดง่ายๆนะ มีเปรตที่อยู่ในสมัยพุทธกาลอยู่บนเขาคิชฌกูฏ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าเปรตตนนี้เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่พุทธันดรที่แล้ว พูดง่ายๆว่าอยู่มาหนึ่งพุทธันดรหมายความว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนเปรตตนนี้ก็อยู่แล้ว อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แม้เวลาล่วงไป พระพุทธเจ้ามาอุบัติใหม่ เปรตตนนี้ก็ยังอยู่ ไม่ใช่ไม่อยู่นะ ไม่ใช่หายไป ขนาดที่พระพุทธเจ้ามีความสามารถที่จะโปรดสัตว์ให้บรรลุมรรคผลนับเป็นอนันต์นะ ช่วยวิญญาณที่ต้องทุกข์ได้ไปสบาย แผ่เมตตาให้ ยังมีวิญญาณบางประเภทที่ไม่สามารถจะช่วยได้ ติดอยู่อย่างนั้นมาเป็นพุทธันดร อย่างนี้ก็มี
นี่ก็เหมือนกันคือเรื่องของกรรมถ้าเราเข้าใจจริงๆเราจะรู้เลยว่ามันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลทั้งจักรวาลทีเดียว มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นนะ มันยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าเราอยู่ในโลกไหนก็ด้วยกรรม มีชะตาถูกกำหนดไว้ในต้นชีวิต กลางชีวิต ปลายชีวิตอย่างไรก็ด้วยกรรม หรือว่าเราจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สติปัญญาแค่ไหน ร่ำรวยมั่งมีเงินทองเพียงใด เหล่านั้นมันมีเรื่องของวิบากในอดีตมาเกี่ยวด้วยทั้งสิ้นเลย
แล้วเรื่องของการผูกเวรกัน จำไว้นะครับ ที่จะทำลายเวรให้สะบั้นขาดจากกันได้ ต่างฝ่ายต่างจะต้องอโหสิให้แก่กันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะต้องมีจิตใจยินดีร่วมกันที่จะไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เวรผูกขึ้นด้วยสองฝ่าย สองฝั่ง เหมือนปมสองปมมันผูกเข้ากันไว้ ถ้าแก้ปมหนึ่งแต่อีกปมหนึ่งยังค้างอยู่มันก็ยังมีการผูกอยู่ดี มันไม่ไปไหนนะ หรือว่าสมมติว่าเราอยากจะได้อย่างใจคือไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องไปได้ยินได้ฟังหรือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือเธออีกแต่ว่ามันยังคงต้องถูกกระทบกระทั่งในการทำให้เกิดความระคายอะไรกัน อย่างนี้ก็เรียกว่ามันยังไม่หมดแรงส่งของเวรเก่าๆ ก็ต้องพยายามต่อไป ไม่ใช่แค่ท้อว่าเมตตาไปแล้ว คิดว่าแผ่เมตตาไปแล้วทุกอย่างจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างจะจบ ไม่ใช่นะครับขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าการแผ่เมตตาให้ศัตรูคู่เวรหรือผู้ที่ทำให้เราไม่สบายใจต้องทำกันทั้งชีวิตที่เหลือ ตลอดชีวิตมันถึงจะหมดในฝั่งเราได้แต่จะหมดฝั่งเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
การแผ่เมตตาไม่ใช่การที่จะตัดกรรม ตัดกรรมจำไว้เป็นคีย์เวิร์ดนะ ตัดกรรมมันตัดไม่ได้ มันไม่ใช่ว่าเรามีอุปเทศวิธีหรือว่ามีหลักอุบายอะไรอย่างหนึ่งที่จะทำให้กรรมเก่ามันหมดการให้ผลได้ ผมขอยกตัวอย่างคร่าวๆง่ายๆสองตัวอย่างนะ อย่างเช่น พระพุทธเจ้ากับพระอัครสาวกสำเร็จมรรคผล บรรลุมรรคผล ได้เป็นพระอรหันต์ผู้เลิศในโลก ผู้เลิศในอนันตจักรวาลแล้ว ท่านก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรเก่าๆ พูดง่ายๆคนที่เคยผูกเวรกันมาในอดีต อย่างเช่นพระเทวทัต หรือว่านางจิญจมาณวิกามาตามราวีได้ ท่านยังถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนได้ หรือแม้แต่โรคกรรมอย่างเช่น พระพุทธองค์เคยต้องปวดพระเศียรข้างเดียวจากการที่ได้ไปเคยเป็นลูกชาวประมงแล้วแค่ยินดี คิดยินดีว่าพ่อแม่พี่น้องหอบปลา หอบอะไรได้จากทะเลมากมาย แค่นั้นพระองค์ยังต้องปวดพระเศียรข้างเดียวเมื่อใกล้จะดับขันธปรินิพพาน
หรืออย่างพวกที่มักจะมีคำถามว่าเราจะส่งคนตายให้ไปดีได้มั้ย?
ลองคิดง่ายๆนะ มีเปรตที่อยู่ในสมัยพุทธกาลอยู่บนเขาคิชฌกูฏ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่าเปรตตนนี้เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่พุทธันดรที่แล้ว พูดง่ายๆว่าอยู่มาหนึ่งพุทธันดรหมายความว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนเปรตตนนี้ก็อยู่แล้ว อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว แม้เวลาล่วงไป พระพุทธเจ้ามาอุบัติใหม่ เปรตตนนี้ก็ยังอยู่ ไม่ใช่ไม่อยู่นะ ไม่ใช่หายไป ขนาดที่พระพุทธเจ้ามีความสามารถที่จะโปรดสัตว์ให้บรรลุมรรคผลนับเป็นอนันต์นะ ช่วยวิญญาณที่ต้องทุกข์ได้ไปสบาย แผ่เมตตาให้ ยังมีวิญญาณบางประเภทที่ไม่สามารถจะช่วยได้ ติดอยู่อย่างนั้นมาเป็นพุทธันดร อย่างนี้ก็มี
นี่ก็เหมือนกันคือเรื่องของกรรมถ้าเราเข้าใจจริงๆเราจะรู้เลยว่ามันเป็นต้นกำเนิดของจักรวาลทั้งจักรวาลทีเดียว มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นนะ มันยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าเราอยู่ในโลกไหนก็ด้วยกรรม มีชะตาถูกกำหนดไว้ในต้นชีวิต กลางชีวิต ปลายชีวิตอย่างไรก็ด้วยกรรม หรือว่าเราจะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สติปัญญาแค่ไหน ร่ำรวยมั่งมีเงินทองเพียงใด เหล่านั้นมันมีเรื่องของวิบากในอดีตมาเกี่ยวด้วยทั้งสิ้นเลย
แล้วเรื่องของการผูกเวรกัน จำไว้นะครับ ที่จะทำลายเวรให้สะบั้นขาดจากกันได้ ต่างฝ่ายต่างจะต้องอโหสิให้แก่กันและกัน ต่างฝ่ายต่างจะต้องมีจิตใจยินดีร่วมกันที่จะไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ไม่ใช่แค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เวรผูกขึ้นด้วยสองฝ่าย สองฝั่ง เหมือนปมสองปมมันผูกเข้ากันไว้ ถ้าแก้ปมหนึ่งแต่อีกปมหนึ่งยังค้างอยู่มันก็ยังมีการผูกอยู่ดี มันไม่ไปไหนนะ หรือว่าสมมติว่าเราอยากจะได้อย่างใจคือไม่ต้องรับรู้ ไม่ต้องไปได้ยินได้ฟังหรือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเขาหรือเธออีกแต่ว่ามันยังคงต้องถูกกระทบกระทั่งในการทำให้เกิดความระคายอะไรกัน อย่างนี้ก็เรียกว่ามันยังไม่หมดแรงส่งของเวรเก่าๆ ก็ต้องพยายามต่อไป ไม่ใช่แค่ท้อว่าเมตตาไปแล้ว คิดว่าแผ่เมตตาไปแล้วทุกอย่างจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างจะจบ ไม่ใช่นะครับขอให้ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าการแผ่เมตตาให้ศัตรูคู่เวรหรือผู้ที่ทำให้เราไม่สบายใจต้องทำกันทั้งชีวิตที่เหลือ ตลอดชีวิตมันถึงจะหมดในฝั่งเราได้แต่จะหมดฝั่งเขาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น