วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๑๒๙ วิธีรับมือความคิดไม่ดี อกุศลจิต

ถาม :   ทำไมบางเวลามีความคิดไม่ดี ที่เราไม่พึงประสงค์แล่นอยู่ในหัว ทั้งๆที่เราไม่อยากให้เกิดแต่ก็ควบคุมมันไม่ได้ ยิ่งอยากให้หยุดเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนักขึ้นเท่านั้น บางครั้งถึงกับจินตนาการเห็นภาพไปเลย อาการอย่างนี้มีสาเหตุมาจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร?

รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/TMZdNpjjYdw


ดังตฤณ: 
ก็มี ๒ สาเหตุหลักๆนะ จากภายในและจากภายนอกนะครับ ก็โลกเราเนี่ยที่เห็นว่ามันจับต้องได้ มันเป็นสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม มันเป็นวงกลม มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา ฟังได้ด้วยหู แบบนี้เนี่ย จริงๆแล้วยังมีคลื่น เหมือนกับที่เราไม่สามารถจะเห็นคลื่นวิทยุ ไม่สามารถจะเห็นคลื่นที่มาจากนอกโลกอะไรแบบนี้นะ รังสีคอสมิกอะไรอย่างนี้ ถึงแม้ว่าเราจะมองไม่เห็นแต่มันก็มีอยู่จริง แต่ถ้าหากว่าเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าไปกว่านั้นอีก ก็จะเห็นนะ ว่านอกจากเรื่องของคลื่นคอสมิก เรื่องของคลื่นที่มองไม่เห็นด้วยตา ฟังไม่ได้ยินด้วยหู ยังมีคลื่นที่มากไปกว่านั้น อย่างเช่นคลื่นกุศล คลื่นอกุศลนะครับ

ถ้าหากว่า โลกส่วนใหญ่ถูกครอบครองอยู่ด้วยคนที่มีน้ำจิตเป็นอกุศลก็เรียกว่า โลกกำลังมืดอยู่นะ ถ้าหากว่าโลกมีคนดีๆมีศีลธรรมอยู่โดยมากอย่างนี้ก็เรียกว่าโลกสว่างอยู่ ถ้าหากว่าเราอยู่ในโลกที่สว่าง ความคิดหรือว่าคลื่นที่มันมากระทบจิตของเราเนี่ย ก็จะมีความดีงาม จะมีความเป็นกุศล จะทำให้จิตของเราปรุงแต่งไปในทางที่ดี แต่ถ้าหากว่าโลกกำลังมืดอยู่นะ บางทีเราอยู่เฉยๆมันเหมือนกับมีคลื่นอะไรลอยมากระทบใจ คือไม่ใช่เกิดจากการที่เราไปตั้งใจไม่ดี หรือทำผิดคิดร้ายอะไรนะ มันลอยเข้ามากระทบแล้วก็ก่อให้เรารู้สึกไม่ดี

เหมือนยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด เท่าที่คนทั่วไปจะมีประสบการณ์กันนะ อย่างเข้าไปในสถานที่ที่เครียดๆ เค้าทำงานกันแบบหมกมุ่น ครุ่นคิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง เข้าไปเราก็จะรู้สึกอึ้งหนัก หรือถ้าเข้าไปในบ่อนพนันนะ เราอาจจะมีความรู้สึกไม่ดี มีความรู้สึกต่อต้าน มีความรู้สึกแย่ไปเลยนะ เหมือนจะเป็นไข้อะไรแบบนั้น ก็เป็นสิ่งที่หลายคนคงจะเคยประสบกันมานะครับ อันนี้เรื่องของคลื่นที่มันเป็นกุศล คลื่นที่เป็นอกุศลเนี่ย มันมีผลกระทบกับเราได้จริงๆ

แต่คลื่นภายนอกจริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นปัจจัยที่ร้ายแรงสักเท่าไหร่นะ ส่วนใหญ่มันมาจากปัจจัยภายใน บางทีเราอยู่ในช่วงเวลา ที่เป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น หรือว่ารักษาศีลได้ดีแล้วเนี่ย เราก็จะลืมไปว่าเคยมีบางช่วง มีบางครั้งในชีวิตนะครับ ที่เราอาจจะคิดไม่ดี พูดไม่ดีมาบ้าง และการคิดไม่ดี พูดไม่ดีเนี่ย ไม่ใช่ว่ามันหายไปไหนนะ มันฝังอยู่ในส่วนลึก ที่เราฝังลืมไปแล้วนั่นแหละ แล้ววันดีคืนดีมันก็โผล่ขึ้นมา เมื่อได้จังหวะให้ผลนะครับ ก็เป็นไปได้

อย่างบางคนเนี่ยนะ ตอนเด็กๆชอบพูดครบสูตรเลยทั้งโกหก ปั้นน้ำเป็นตัว นินทา ส่อเสียด ยุแยงตะแคงรั่ว แล้วก็อาจจะเพ้อเจ้อ อาจจะชอบพูดทะลึ่ง ลามกอะไรต่างๆ แต่โตขึ้นมาเนี่ย เปลี่ยนไปเป็นคนละคน พูดดี เรียบร้อย แล้วก็มีความคิดอ่านอะไรมีมุมมองโลกที่ดีนะ แตกต่างไป ซึ่งทำให้ลืม ลืมไปสนิทเลย ว่าเราเคยเป็นเด็กอีกแบบหนึ่งที่แตกต่างไปแล้ว แต่แม้เด็กคนนั้นจะหายไปจากโลกนี้แล้ว แต่กรรมหรือว่าสิ่งที่เคยทำมันยังไม่ได้หายไปไหน มันก็ตกค้างอยู่ วันดีคืนดี เมื่อถึงเวลาที่มันจะเผล็ดผล อย่างเราสมมตินะ เราเคยไปแกล้งพูดให้คนอื่นเค้ารู้สึกแย่ ทำให้คนอื่นเสียความรู้สึก ไปเฮิร์ตฟีลลิ่งเค้าอะไรแบบนั้น ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ อยู่ๆก็อาจจะมีคำพูด หรือว่าคำด่าอะไรขึ้นมาในหัว ให้เราเกิดความรู้สึกรำคาญ หรือว่าเกิดความรู้สึกเหมือนกับแย่กับตัวเอง อะไรแบบนี้ได้นะครับ ก็สารพัดเหตุ สารพัดที่จะมีเงื่อนไขปัจจัย ทั้งภายนอกและภายในนะครับ

อันนี้ก็เคยคุยกันมาหลายครั้ง แต่ละครั้งผมก็จะหยิบยกเอาเรื่องที่มันแตกต่างกันไป มาพูดถึง มาอ้างอิงถึง แต่จุดใหญ่ใจความเนี่ย มันก็สรุปลงที่เดียวกันนั่นแหละคือ เป็นความปรุงแต่งจิตชั่วคราวที่เราไม่ได้เป็นคนตั้งใจขึ้นมาในปัจจุบันนี้

วิธีที่จะต้อนรับกับความคิดทำนองนี้นะ ถ้ายิ่งเราไปเกิดความไม่สบายใจกลัวบาป หรือว่ากลัวเดี๋ยวจะให้ผลร้ายอย่างโน้นอย่างนี้กับชีวิตนะ มันยิ่งไปกันใหญ่ มันจะยิ่งกลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้ความคิดทำนองนี้เนี่ย มันกลับเข้ามาอีก ทำนองเดียวกันกับที่เรามีความกดดันอยู่ ยิ่งไปกดตัวเองเพิ่มขึ้น มันก็ยิ่งอึดอัด มันก็ยิ่งหาทางระเบิดนะ แล้วในที่สุดมันก็ระเบิดปุ๊งออกมาจริงๆ ระเบิดออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเอง หรือนึกว่าตัวเองเป็นประเภทนั้นจริงๆ คิดแบบนั้นจริงๆ ก็ยิ่งด่าทอตัวเองซ้ำเข้าไปอีกนะ มันก็เลยกลายเป็นคนประเภทนั้นเข้าไปจริงๆ

วิธีที่ถูกต้อง ที่จะต้อนรับความคิดแบบนี้ ตอบโต้กับความคิดแบบนี้ ก็คือให้ยอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้น อย่าไปกลัว ตราบใดที่เรามีความแน่ใจว่า เราไม่ได้เป็นคนเต็มใจคิด เราไม่ได้เป็นคนผลิต ไอ้ความคิดบ้าๆอะไรแบบนั้นขึ้นมา ก็ขอให้ทราบว่า ณ ปัจจุบันเราไม่ได้ก่อกรรม เราไม่ได้ก่อบาป มันเป็นแค่สะเก็ดความคิด ที่อาจจะมาจากภายนอก หรือว่าอาจจะมาจากอดีตที่ฝังลืมไปแล้วนะ แล้วมากระทบใจอันเป็นปัจจุบัน ขอเพียงใจที่มันเป็นปัจจุบันเนี่ยมีสติ สติอยู่กับฝ่ายกุศล เมื่อเกิดกุศลจิตขึ้นมา ความมืดที่เป็นอกุศลจิตมันก็อยู่ไม่ได้ มันก็ตั้งไม่ได้ แล้ววิธีที่จะเกิดสติก็คืออะไร ก็คือการยอมรับตามจริง ไม่ใช่ไปปฏิเสธความจริง จำไว้ว่าการปฏิเสธความจริงหรือฝืนต่อต้านความจริง บอกตัวเองว่ามันไม่เกิดขึ้นในหัวของเรา แบบนี้เราไม่ได้คิด เราไม่ได้เป็น อย่างนั้นคือการปฏิเสธความจริง ไม่ยอมรับความจริง มันจะทำให้อาการที่เป็นอกุศลยิ่งกำเริบหนักเข้าไปอีก แต่ถ้าหากว่าเรามีอาการยอมรับตามจริง ตัวยอมรับตามจริงนั่นแหละคือสติ ตัวยอมรับตามจริงนั่นแหละ คือตัวความสว่างขึ้นมา ยอมรับตามจริงแล้วไง ยอมรับตามจริงแล้วเนี่ย มันก็จะค่อยๆเห็นตามจริงขึ้นมาว่า ไอ้ที่เป็นความคิดเลวๆผุดขึ้นมาในหัวเรา เราไม่ได้ตั้งใจซักหน่อย มันผุดขึ้นมาเอง ตัวยอมรับตามจริงนี้แหละ มันก็จะเห็นเช่นกันว่า ที่ผุดขึ้นมาเอง เดี๋ยวหนึ่งมันก็หายไปเองเช่นกัน และมันจะกลับมาอีกเรื่อยๆ ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

ก็ไม่ต้องไปกังวลนะว่า เราจะคิดไปอย่างนี้ทั้งชีวิต ถ้ามันจะต้องคิดไปอย่างนี้ทั้งชีวิต เราก็จะดูว่ามันมาเอง แล้วไปเองไปทั้งชีวิตเช่นกัน วิธีโต้ตอบกับมันแบบนี้เนี่ย จะทำให้จิตเปรียบเสมือนกระดานลื่น พอมันลื่นผ่านมาแล้วมันก็ไหลผ่านไป ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าเรากลุ้มใจ ถ้าเราทรมานใจ นั่นน่ะเหมือนกับใจไปยึดมันไว้โดยไม่รู้ตัว ลองนึกถึงอาการที่เราทรมานใจนะ มันจะมีอาการบีบ มันจะมีอาการอัดแน่น มันจะมีอาการไม่ปล่อย อาการไม่ปล่อยนั่นแหละ ที่มันเหมือนกับตัวเลี้ยงไว้ ตัวทำให้ความคิดมันไม่ตายไป แล้วก็หลอกตัวเองว่า เนี่ยมันเป็นความคิดของเรา คือไอ้ความคิดเนี่ย ความยึดอาการคิดนั่นน่ะ ตัวนั้นแหละที่มันหลอกเราได้ว่ามันเป็นความคิดของเรา ทั้งๆที่ไม่ใช่ ถ้ายอมรับตามจริงไปตั้งแต่แรกซะ ว่ามันเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเกิดแล้วก็สังเกตเมื่อไหร่มันจะหายไป เอาแต่สังเกตอย่างเดียว ก็จะเห็นชัดๆเลยนะ หลังจากที่สังเกตไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งเนี่ย เห็นชัดๆเลยว่ามันมาเองแล้วก็ไปเอง โดยที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเราอยู่เลย

เนี่ยตัวนี้นะ สรุปง่ายๆก็คือว่า ๑) ยอมรับตามจริง ๒) ให้เห็นนะว่าถ้าเราไม่ไปทำอะไรกับมัน เดี๋ยวมันค่อยๆหายไปเอง แล้วในที่สุดมันก็จะมีสภาพเป็นอนัตตานะครับ มันมาอย่างอนัตตา แล้วก็ไปอย่างอนัตตา คือไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น