ดังตฤณ : คงไปมองรถสปอร์ตอะไรแบบนั้นมั้ง หรือไม่ก็อาจจะรถหรูเป็นลักชูรี่คาร์อะไรแบบนั้นนะครับ คำถามน่าจะมุ่งหมายไปทางรถระดับนั้น
จริงๆแล้ว เราไปมองเป็นวัตถุไม่ได้หรอกนะครับ เรื่องที่ว่าจะได้มีรถดีๆใช้ จะได้มีเครื่องบินเจ็ตขี่ หรืออะไรต่อมิอะไรต่างๆเนี่ย มันเหมารวมไปเรื่องของฐานะ ระดับความเป็นอยู่ ระดับชีวิตที่จะมีจับจ่ายใช้สอยได้ตามอำเภอใจได้แค่ไหน หรือว่าจะมีเหลือเฟือพอที่จะฟุ่มเฟือย แล้วก็เอาของแบรนด์ของดีมีระดับมาบำรุงบำเรอชีวิตของตนเองจะได้แค่ไหนเนี่ย พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ขึ้นอยู่กับ ‘วิธี’ ที่เราทำทาน แล้วก็ ‘ปริมาณ’ ที่เราทำทานมา
ถ้าหากว่าเป็นผู้มีใจเลื่อมใส คืออยากให้ มีความรู้สึกตื้นตันใจ มีความรู้สึกปีติอย่างใหญ่ที่จะอนุเคราะห์ให้ใครเขาเกิดความรู้สึกดี หรือว่าเกิดสภาพชีวิตที่มันพัฒนาขึ้น มีการอัพเกรดชีวิต ถ้าอัพเกรดชีวิตให้ใครเขาได้แล้วรู้สึกปลื้มรู้สึกยินดี อันนั้นแหละ ที่เรียกว่าเป็น ‘การให้ทานด้วยความเลื่อมใส’ เลื่อมใสในผลของบุญ เลื่อมใสในสิ่งที่ตัวเองทำให้คนอื่นเขามีชีวิตที่ดีขึ้น หรือว่ามีความสุขมากขึ้น อันนี้ก็เป็นผลให้ทานมีความเต็ม มีความอิ่ม มีความเบ่งบานอย่างใหญ่ โอกาสที่จะได้เกิดมามั่งคั่งก็มีสูงนะครับ
เราเกิดมามั่งคั่งเนี่ย มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องรถ เรื่องบ้าน เรื่องการซื้อเสื้อผ้า การซื้อของจำเป็นเนี่ย มันก็จะฟ้องฐานะนะครับ สิ่งที่แวดล้อมเราเนี่ย ทรัพย์สมบัติที่แวดล้อมเราเนี่ย จะฟ้องฐานะความเป็นอยู่ว่ามีอันจะกิน และในขณะเดียวกันก็จะสะท้อนภาพในอดีตนะว่า เคยทำบุญทำทานมามากด้วย
ทีนี้คนจะมีความสงสัยกันว่า เอ๊ะ ตอนแรกๆเนี่ย ทำไมอัตคัดขัดสน แต่โตขึ้นมาโกงเอาๆแล้วร่ำรวย? เนี่ยคนจะสงสัยกันมากที่สุดเลย ก็มักจะพูดกันว่า คนขี่รถสปอร์ตเนี่ย ส่วนใหญ่เหมือนไปขโมยเขามาแหละพูดง่ายๆ เพราะว่าวิถีทางของการได้เงินมาเนี่ย คือการไปหลอกลวงเขาบ้าง คือการไปช่อฉลบ้าง คือการไปยักยอกบ้างต่างๆนานา คือความสงสัยจะเพ่งกันที่จุดนี้แหละ
จริงๆแล้ว ถ้าหากว่าเราจะมองในแง่ของการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่ากรรมวิบากเนี่ยนะครับ ต้องมองว่ากรรมเนี่ย ไม่ได้มีแค่เรื่องของทาน มันมีเรื่องของศีลด้วย ศีลเนี่ยนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นเหตุ เหมือนเป็นแผ่นดิน เหมือนภาชนะรองรับความร่ำรวย
ถ้าหากว่ามีศีลสะอาดนะครับ ก็ถือว่ามีแผ่นดินที่หนักแน่นมั่นคง ไม่แผ่นดินไหว หรือมีภาชนะ มีพานทองรองรับความร่ำรวยได้อย่างมั่นคงนะครับ
แต่คนที่ไม่มีศีลเนี่ย บางทีถึงแม้ว่าทานจ้องจะให้ผลอยู่ ผลของทานจ้องจะมาบำรุงบำเรอให้มีความร่ำรวย มีความมั่งคั่ง แต่การที่ไปผิดศีลโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้ออทินนาทาน ไปช่อฉลใครเขาไว้ ไปขโมยทรัพย์ใครเขาไว้ ไปทำลายข้าวของใครเขาไว้เนี่ยนะครับ มันก็เป็นไปได้
อย่างประเภทที่นำทัพไปปิดล้อมเมืองอะไรเขาเนี่ยนะครับ ถึงแม้ว่าจะทำบุญทำทานอะไรมาแค่ไหน เกิดมาเนี่ยมีความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ในถิ่นที่ทุรกันดาร อยู่ในถิ่นที่อัตคัดขัดสน โอกาสที่จะได้มาซึ่งข้าวปลาอาหารลำบากอะไรแบบนี้นะครับ กว่าที่จะโตขึ้นแล้วบาปเก่ามันทุเลาผลลงสิบปียี่สิบปีเนี่ย แล้วเริ่มที่บุญจะเผล็ดผล จะให้ผลได้ชื่นใจบ้างเนี่ยนะครับ ก็ทำมาหากินสะดวก แล้วก็รุ่งเอารุ่งเอา
แต่ทีนี้วิธีที่จะรุ่งเนี่ย มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจด้วยนะครับ จากนิสัยเดิมหรือว่าสันดานเดิมที่สืบๆมาข้ามภพข้ามชาติ บางคนมีความรู้สึกพอใจที่จะทำมาหากินบนความเดือดร้อนของคนอื่น แล้วเมื่อบุญเก่ายังหล่อเลี้ยงเขาที่จะให้เขาได้สบาย มันก็ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้นะครับ แต่บางคนเนี่ยถึงตายก็ไม่ยอมผิดศีล อันนี้ก็จะสู้ทนไป บางทีรอจนเกือบแก่ถึงได้ลืมตาอ้าปากได้ อันนี้ก็เป็นกรรมที่ค่อนข้างซับซ้อน
แต่ขอให้มองง่ายๆเถอะ พระพุทธศาสนาเวลาจะพูดถึงเรื่องกรรมแล้วก็วิบากเนี่ย ท่านให้มองง่ายๆเลย มันมีกรรมขาวกับกรรมดำ กรรมขาวกับกรรมดำมันปนกันมั่วไปหมด ยุ่งไปหมดเนี่ย พระพุทธเจ้าตรัสว่า การเวียนว่ายตายเกิดที่สลับซับซ้อนน่ากลัวอย่างที่สุดก็ตรงนี้แหละ คือมันไม่ชัดเจนไปเลยว่า ขาวขาวทีเดียว หรือว่าดำดำทีเดียว แต่มันขาวบ้างดำบ้างสลับกันนะครับ สลับกันกับจังหวะอารมณ์กิเลสนั่นแหละ บางทีก็อยากจะทำดี บางทีก็อยากจะทำชั่ว ผลของกรรมดีกรรมชั่วมันเลยสลับกันเช่นกัน ไม่แน่ไม่นอน
บางคนเนี่ยโอกาสที่จะรวยมีมาก ทำอะไรมันก็รวยหมด แต่ ‘ความชอบใจที่จะทำอะไร’ ตัวนี้แหละที่เรียกว่าเป็นนิสัย เป็นอาจิณณกรรม เป็นสิ่งที่สืบๆ สันดานมา
ก็คิดว่าคงจะตอบเลยจากประเด็นโจทย์ไปนิดนึง อันนี้ก็ตีความของน้องนะครับว่า คงจะถามเอาเรื่องของความร่ำรวยขนาดที่จะไปจับจ่ายใช้สอยในแบบที่ฟุ่มเฟือยได้ เพราะว่าสิ่งที่ผมได้ยินกันมากที่สุดเลยในปัจจุบันก็คือว่า คนที่รวยมากคือเลวมากมาก่อน ส่วนใหญ่เลยนะครับ แต่ที่จะรวยเพราะคาบช้อนเงินช้อนทองกันมาเนี่ย อันนั้นก็เป็นอีกประเภทนึงซึ่งมักจะไม่ค่อยได้พูดถึงกันนะครับ
คนร่ำรวยในโลกนี้ตามสถิติที่นิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) เขาเคยรวบรวมไว้ คนที่รวยระดับโลกจริงๆที่มีกินมีใช้ได้ด้วยตัวเองเนี่ยนะครับ ส่วนใหญ่ดิ้นรนกันมาจากศูนย์ หรือจากประมาณซักหนึ่งสองสามอะไรแบบเนี้ย ไม่ค่อยมีใครที่มาเริ่มที่ห้าสิบหรือว่าเกินห้าสิบนะครับ ส่วนใหญ่เนี่ยต้องคิดเอง ต้องริเริ่มเอง ใช้ความสามารถเองกันทั้งนั้น แต่พวกที่ได้มรดกมาเนี่ยก็ต้องแบ่ง ก็ต้องหารนะครับ
---------------------------------------------------------------------
สารบัญหมวดตามวันที่ออกอากาศ http://bit.ly/11fZM5O
สารบัญหมวด http://bit.ly/14wgP50
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น