รู้สึกว่าตัวเองมีความยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่การงานและหน้าตามากค่ะ แคร์ความคิดคนอื่น กลัวคนมองเราไม่ดี ทุกข์ในชีวิตส่วนใหญ่ก็มีสาเหตุวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ ควรจะแก้ไขพัฒนาตัวเองอย่างไรดี แต่กับเรื่องเงินทองกลับไม่ค่อยยึดติดเลยนะ รู้สึกสละได้ง่ายมาก แล้วก็อภัยคนอื่นได้ง่ายด้วย?
รับฟังทางยูทูบ https://youtu.be/QqGPtlvJ2B0
ก็ดีแล้วนะ ขอให้มองอย่างนี้ก่อนว่า ชีวิตเรานี่นะอยู่ฝ่ายสว่าง
อยู่ฝ่ายที่เป็นกุศลมากกว่าที่จะอยู่ฝ่ายอกุศลนะ อย่างเรื่องของการให้ทาน
มีน้ำใจสามารถที่จะให้ทาน จะเป็นทรัพย์สินหรือจะเป็นความโกรธแค้นนี่
สามารถสละคืนให้กับความว่างในธรรมชาติได้
อันนี้ก็ถ้ามองเป็นจิตนะ ก็จะเห็นว่า
จิตมีความเป็นอิสระจากกิเลสพอสมควรนะครับ เราจะรู้สึกว่าจิตของตัวเองนี่
ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วนี่มันมีความแห้งกว่า มันมีความรู้สึกสะอาดกว่านะ
ของคนอื่นนี่มันจะแฉะ มันจะเปียก แล้วก็มันจะค่อนข้างออกแนวสะสมขยะทางอารมณ์ไว้เยอะ
ถ้าหากว่าเรามองนะว่าคนนี่จะสะสมขยะทางอารมณ์กันมากที่สุด ก็จากความโกรธแค้น
แล้วก็ความรู้สึกชิงชังกันนะ ก็ถือว่าของเรานี่ไม่สกปรกเท่านั้นแน่นอนนะครับ
เพราะเหตุผลคือ สามารถให้อภัยคนอื่นได้ง่าย
ส่วนใหญ่พวกให้อภัยง่ายนี่นะ จะถูกมองเป็นพวกใจอ่อนนะ ขี้สงสาร
หรือว่าเป็นประเภทที่ อย่างไรล่ะ คือ เหมือนกับมาขออะไรได้ง่ายๆ อะไรแบบนั้นน่ะนะ
คือทำอย่างไรกับเราก็ได้ แล้วเดี๋ยวค่อยไปขอโทษเอา ซึ่งถ้ามองแบบคนทางโลก
เขาจะมองว่านั่นเป็นคนที่ยอมเสียเปรียบนะ แต่ถ้าหากว่าเรามองอย่างคนทางธรรม
ก็จะมองว่านี่เป็นคนที่มีโอกาสได้เปรียบกว่าคนอื่นทางความสว่าง
ทางความสูงส่งของจิตวิญญาณนะ แล้วก็ที่สำคัญที่สุด
เราสามารถข้ามพ้นความสูงส่งของจิตวิญญาณไปได้
ด้วยการที่จะไม่ยึดติดถือมั่นในตัวในตน เพราะอะไร?
เพราะว่าที่จะยึดติดถือมั่นในตัวในตนนี่นะ
สำคัญเป็นอันดับแรกๆเลยก็คือ การผูกใจเจ็บ การผูกใจโกรธ การอาฆาตแค้นกัน
ถ้าหากว่ายังละเรื่องหยาบๆร้อนๆแบบนั้นไม่ได้นี่นะ ไม่มีทางล่ะที่ตัวตนมันจะไปไหน
เพราะตัวตนนี่มันผูกยึดอยู่กับตัวนี่ มีตัวฉันที่เป็นผู้ถูกกระทำ
และตัวฉันนี้จะต้องไปแก้แค้นเอาคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่สมศักดิ์ศรีนะ เหมือนเสียศักดิ์ศรีไป
ยังยึดติดกันในเรื่องของได้เปรียบเสียเปรียบ
หรือว่าเรื่องศักดิ์ศรีใครโตมากโตน้อยนี่ อันนี้ก็เรียกว่า
มีอัตตาที่เหนียวแน่นนะครับ
ถ้าหากว่าสละได้ง่าย
อภัยคนอื่นได้ง่ายนี่ก็มีอัตตาที่น้อยลงแล้วชัดเจน
แล้วก็เรื่องทรัพย์สินเงินทองก็เหมือนกันนะ ถ้าหากว่าเราสละได้ง่ายก็เหมือนกับสละความตระหนี่
สละความยึดติดอะไรที่มันพะรุงพะรังออกไป แล้วก็พร้อมจะไปสละในขั้นประณีตกว่านั้นนะ
คือความรู้สึกในตัวตน
เอาล่ะที่นี้มาถึงคำถาม
คือคำถามจะมุ่งเน้นไปเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น
ในตำแหน่งหน้าที่การงานแล้วก็หน้าตา เอาล่ะเรามีทุนนะ
คือสามารถที่จะสละเรื่องความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความชิงชังได้
แล้วก็เรื่องของทรัพยทานนี่นะ เราสามารถทำได้ง่ายๆ
แต่ว่ามาติดในเรื่องของตัวตนที่อยู่ในเรื่องของหน้าตา
เรื่องของส่วนสูงทางตำแหน่งนะครับ แล้วก็เรื่องของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติของฆราวาส
ถ้าหากว่าฆราวาสไม่มี ความทะเยอทะยาน
ไม่มีความมุ่งหวังนะอยากจะก้าวหน้าขึ้นไปเป็นลำดับในสายการงานนี่
โอกาสที่จะเฉื่อยชามีอยู่สูงมาก อันนี้เราต้องแยกดีๆนะ คือในทางธรรมนี่นะ
เราก็อาจจะเจริญสติหรืออาจจะมีการพิจารณาธรรมในแง่มุมต่างๆไป แต่ในทางโลกนี่
ถ้าหากว่ามันยังมีความยึดมั่นถือมั่นตำแหน่ง หรือว่ามีเรื่องของเกียรติยศ
เรื่องของความอยากจะโปรโมตไปเรื่อยๆ อะไรแบบนี้นี่ ก็ให้ถือว่าเป็นธรรมดา
เป็นปกติก่อน
นี่มองในแง่ของชาวโลกนะครับ มองในแง่ที่ว่าเรายังเป็นฆราวาสอยู่
เรายังอยู่ในฐานะที่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะ ถ้าหากว่าไปพิจารณาเป็นธรรมะไปหมด
หรือว่าไม่อยากมีหน้ามีตา ไม่อยากได้ตำแหน่ง ไม่อยากได้ความก้าวหน้าเลยนี่
ส่วนใหญ่ก็จะลงล็อกเดียวกันคือ เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายก้ำๆกึ่งๆนะ
คือทั้งเบื่อทั้งอยาก อยากจะอยู่ก็อยากจะอยู่ อยากจะไปก็อยากจะไป
แล้วมันก็เลยไม่ได้ ยักแย่ยักยันน่ะ ไม่ได้เอาอะไรสักอย่างหนึ่งนะ
ทีนี้ถามว่ามันจะลงตัวกันได้อย่างไร ระหว่างโลกกับธรรม
ระหว่างความรู้สึกนะ ที่มันยังยึดมั่นถือมั่นในตำแหน่งหน้าที่การงาน
กับความรู้สึกอยากจะสละอุปาทานในตัวตนเพื่อให้ถึงมรรคถึงผล เพื่อให้ได้มีโอกาสกับท่านบ้างนะ
ได้ลิ้มรสความสุขอันเป็นวิเวกนะ ความสุขอันเป็นวิมุตติ
ความสุขอันเป็นสิ่งไร้มลทินนะครับ ถ้าหากว่าเราอยากจะได้ทั้งสองอย่างจะทำอย่างไร
ก็คือก่อนอื่นเลยนะ ให้เซตลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง
ใจของเรานี่นะต้องผูกอยู่กับงานก่อน ต้องท่องไว้ดีๆนะว่าเราเป็นฆราวาส
ถ้าหากว่าใจผูกอยู่กับงานแล้วก็หลงใหลไปกับหน้าที่การงาน
อันนั้นขอให้มองว่าเป็นเรื่องปกติก่อนนะครับ
จากนั้นถ้าทำงานเต็มที่แล้ว
โอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือเกิดความรู้สึกว่า
นี่เป็นแค่สิ่งที่มันมาแล้วมันก็ไปนะ ตำแหน่งเก่าๆผ่านมาเพื่อให้เหยียบเป็นบันไดขั้นต่อไป
เดี๋ยวมันก็ต้องผ่านไป ขึ้นไปเรื่อยๆตามจังหวะของชีวิต ตามจังหวะของการทำงานนะ
เราก็มองจากตรงนั้นก็ได้ว่า อะไรๆที่กำลังจำเจอยู่ กำลังน่าเบื่ออยู่
กำลังรู้สึกอึดอัดอยู่นะ ในที่สุดมันก็จะต้องเปลี่ยนไป คือมองเป็นภาพรวมนะ
ไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ในปัจจุบัน แล้วเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย
เกิดความรู้สึกว่ามันเหนื่อยนะ นี่ตรงนี้เราก็มองว่า เดี๋ยวมันก็จะต้องต่างไป
พอเราเลื่อนขั้นขึ้นไปหรือว่ามีหน้าที่ที่จะถูกโยกย้าย
หรือว่าจะสลับสับเปลี่ยนอะไรก็แล้วแต่ มันอาจจะหนักขึ้นก็ได้ มีอะไรที่หนักขึ้นรออยู่
หรือไม่ก็อาจจะเบาลงนะ
ไม่ว่ามันจะจะเบาลงหรือว่าจะหนักขึ้น
นั่นก็คือจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป เราสามารถเห็นเป็นขั้นบันไดชีวิตได้แบบนี้นะ
แล้วก็ คือมารวมลงที่ความรู้สึกน่ะ ไม่ใช่ว่าจะมองกันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบว่านะ
ปีหน้าจะได้โปรโมตเป็นอะไร หรือว่าจะมีใครขึ้นมาแซงหน้าหรือเปล่า อะไรทำนองนั้นนะ
แต่มองที่ความรู้สึก มองที่ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นเป็นปกติน่ะ
ในปีนี้รู้สึกอย่างไร รู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกว่าอึดอัดกับการงาน
หรือมีความรู้สึกกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ส่วนใหญ่นี่นะ คนที่จะมีความยึดติดถือมั่นกับตำแหน่งหน้าที่การงานนี่
โดยหลักจะมีความรู้สึกกระตือรือร้นนะ ถ้าหากว่าเรารู้สึกกระตือรือร้น
ให้มองว่าความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกฝ่ายดี ฝ่ายที่เกื้อกูลในหน้าที่การงาน
เรามองไปว่าความกระตือรือร้นนี่ มันอยู่ได้นานกี่ปี หรืออยู่ได้นานกี่เดือน
พอมองเป็น คือพอมีความเคยชินที่จะสังเกตเข้ามาว่า ความกระตือรือร้นของเรานี่
มันอยู่ได้นานแค่ไหนนะ เออ จากสเกลแรกนี่ที่เป็นเดือนเป็นปีนี่
มันจะค่อยมองมาเป็นวันๆ วันนี้กระตือรือร้นมาก วันต่อมากระตือรือร้นน้อยลง
หรือว่าอาทิตย์หน้านะ มันกระตือรือร้นมากขึ้นกว่านั้น อีกราวกับว่ามีไฟลุกท่วมตัวเลยนะ
มีเหตุต่างๆจูงใจให้โฟกัส ให้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตอันน่าตื่นเต้น
แต่บางช่วงนี่ติดขัดไปหมด
แม้แต่ความรู้สึกที่เราอยากจะผลักดันสิ่งต่างๆให้มันลุล่วงไป
มันก็คล้ายๆกับมอดตัวลง
คล้ายๆกับมีความรู้สึกเหมือน
คนที่ปีนเขาอยู่แล้วมีอะไรรบกวนเยอะเหลือเกิน ไม่อยากปีนต่อ ทำไปแบบซังกะตาย
แต่ก็เหมือนกับจะต้องนะ ไหนๆขึ้นเขามาแล้ว ก็ต้องขึ้นต่อไปจนกว่าจะถึงยอดเขา
ความรู้สึกต่างๆนี่นะ
ที่มันเกิดขึ้นระหว่างการทำงานอย่างกระตือรือร้นนี่สามารถถูกสังเกตได้
สามารถถูกรู้ ถูกมอง ถูกเห็น ทั้งสเกลใหญ่แล้วก็สเกลเล็ก จนกว่าจะเกิดความรู้สึกว่า
ความกระตือรือร้นนี่นะ มันไม่เที่ยง
ตามการปรุงแต่งของการงานในหน้าที่หลักๆแต่ละวันนั่นแหละ คือดูแค่นี้ก่อน
ดูเอาแบบหยาบๆ ดูเอาแบบง่ายๆ ดูเอาแบบที่เราจะรู้สึกว่าทั้งโลกกับทั้งธรรมนี่
มันมาผสมอยู่ด้วยกันตรงนี้แหละ ตรงที่เรายังตั้งหน้าตั้งตา ตั้งใจทำงาน
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นความไม่เที่ยงที่เกิดขึ้นในภาวะภายใน
ถ้าใครรู้สึกว่า เอ้ย ไปสังเกตความกระตือรือร้นคงไม่ไหวหรอก
เพราะไม่ค่อยกระตือรือร้นนะ จะเฉื่อยชาเสียมากกว่า
ก็เอาความเฉื่อยชานั้นก็ได้มาสังเกตดูนะ ปีนี้เฉื่อยชามากหรือเฉื่อยชาน้อยกว่าปีก่อน
แล้วค่อยๆย่อยลงมา ถ้ามันมีความเคยชินจริงๆที่จะคิด
ที่จะคำนึงถึงความเฉื่อยชาของตัวเองนี่นะ มันจะย่อยลงมาเป็นสเกลเล็กนะ
ในระดับของอาทิตย์ ในระดับของวัน แล้วในที่สุดในระดับของชั่วโมง
มันจะเห็นว่าทำงานอะไรแล้วเกิดความเฉื่อยชามาก ทำงานอะไรแล้วเกิดความเฉื่อยชาน้อยนะ
แล้วก็ด้วยการจัดสังเกตอยู่อย่างนั้นเอง
มันก็จะรู้สึกถึงความไม่เที่ยงของความเฉื่อยชานะ
เห็นว่ามันแล้วแต่การปรุงแต่งของงานในแต่ละลักษณะที่เราชอบใจหรือไม่ชอบใจ
ที่มันมีอุปสรรคมากหรือมีอุปสรรคน้อย ที่มันมีรางวัลล่อใจอยู่
หรือไม่มีรางวัลล่อใจอยู่เลยนะ ปัจจัยต่างๆมันจะปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกเฉื่อยๆ
หรือว่าเกิดความรู้สึกว่า เออ มันมี ค่อยมีไฟขึ้นมาหน่อย
ถ้าเห็นความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นในหน้าที่การงานของเราได้
อย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหลงไปติด ติดแบบชนิดถอนไม่ออกนี่นะ
หรือว่าความรู้สึกเกี่ยวกับหน้าตาว่า หน้าฉันจะต้องใหญ่กว่าคนอื่นนะ
ทั้งหลายทั้งปวงนี่นะ มันจะค่อยๆลดลงเอง นั่นเพราะว่าโฟกัสของจิตนะ
แทนที่มันจะมุ่งไปข้างนอกอย่างเดียว มันสามารถย้อนกลับเข้ามา มีความเคยชินที่จะรู้
ที่จะดูข้างในด้วยนะครับ นี่แหละ ตรงนี้คีย์สำคัญอยู่ตรงนี้
ถ้าหากว่าเอาแต่พุ่งออกไปข้างนอกอย่างเดียว
อย่างไรมันก็ต้องหลงติดแน่นะ จะรู้ธรรมะ จะท่องสูตรอะไรมาได้แค่ไหนก็ตาม
อย่างไรๆมันก็ไปทางโลกท่าเดียวนั่นแหละ แต่ถ้าหากว่ามีความเคยชิน
ที่จะสร้างจุดสังเกตเข้ามาที่ความรู้สึกภายใน อันนี้อย่างไรๆนะ ไม่ว่าจะรู้ธรรมะน้อยหรือมากแค่ไหน
ในที่สุดเราจะเห็นนะครับว่า จิตค่อยๆถอนออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เสียงานด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น