เป็นคนที่มีปัญหาในการอ่านหนังสือเรียน
คือเวลาต้องเข้าโหมดอ่านหนังสือเรียนทีไร จะรู้สึกหดหู่ เบื่อๆ
ทำให้บางทีอ่านแล้วไม่เข้าสมอง ต้องอ่านซ้ำๆกว่าจะเข้าใจก็กินเวลาไปเยอะ
บางวิชาจะสอบแล้ว ยังไม่ไปถึงไหนเลย มีสมาธิและความอดทนต่ำมาก บางทีมันทึบจัด
ไม่มีกำลังใจจะอ่านต่อ ท้อ แล้วก็เลิกอ่านไปเลย จึงขอคำแนะนำว่า
ทำอย่างไรถึงจะมีสมาธิกับความอดทนในการอ่านหนังสือเรียนได้นานๆ แล้วก็รวดเร็ว?
ถ้าหากว่าพิจารณาตรงในเรื่องของการเจริญสติ
จะเอามาช่วยได้อย่างไร? อย่างที่ผมเคยแนะนำไปกับหลายๆคน แล้วก็บางคนก็ใช้ได้ผล
คือมันไม่ใช่ว่าจะได้ผลกันทุกคน มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาจริงแค่ไหนนะครับ
แล้วก็แบ็คกราวน์ของเรามีความเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเพียงใดด้วย
เพระว่า
ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าบางทีนะ
ต้นเหตุของการไม่อยากอ่านหนังสือนี่มันมีหลายอย่างเหลือเกิน เอาหลักๆเลย
ปัจจุบันนี่นะ คนอยากจะใช้เวลาไปกับการเล่นสนุก คนยุคไอทีนะครับ มันมีของเล่นเยอะ
ตั้งแต่เด็กจนโต พอตอนเด็กๆนี่ก็มีของเล่นกุ๊งกิ๊งๆ แต่ว่าพอตอนโตขึ้นมานะ
ยังไม่ทันอะไรนี่ ตอนนี้เด็กทุกคนจะรู้จักไอแพด รู้จักกาแล็กซีแท็บ
รู้จักแท็บแล็ตอะไรต่างๆที่มีกันเยอะแยะ หรือว่าบางทีนี่ไม่ต้องไปหาที่ไหน
มีรัฐบาลแจกฟรี
ก็เป็นอันว่าอยู่ในโลกยุคไอทีนี่ไม่ต้องห่วงเลยนะครับ
มีของล่อตาล่อใจมาแย่งไอ้ความสนใจจากการเรียน นั่นก็คือเพื่อน
เพื่อนนี่นะเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากจะมีกันที่สุดแหละ ไม่อยากจะมีใครเหงาหรอก
ไม่มีใครอยากจะอยู่คนเดียว เดียวดายตามลำพังบนโลกใบนี้ แล้วก็ยุคไอทีนี่
เป็นยุคทองของคนขี้เหงา
เพราะว่าเราสามารถใช้ความพยายามเพียงน้อยติดต่อสื่อสารได้กับเพื่อนๆที่อยู่ตรงไหนส่วนใดของโลกก็ได้
หรือถ้าบางคนไม่ชอบอินเตอร์เน็ต
แต่ไปชอบดูหนัง ฟังเพลง หรือว่าไปเที่ยวห้าง
หรือจะมีเครื่องล่อตาล่อใจอะไรก็แล้วแต่ในรสนิยมส่วนตัว
ที่มีความเข้ากันกับตัวตนของเรานะ ไอ้สิ่งเหล่านี้นี่นะ
ถ้าหากว่าเราติดใจไปกับมันมากๆแล้ว เวลาที่จะต้องมาทำการงาน หรือว่าจะต้องมาเรียน
มันจะมีความรู้สึกเหมือนต้องฝืนใจ เหมือนกับต้องบังคับตัวเอง
ต้องออกแรงที่จะยื้อตัวตนที่แท้จริง
ให้มันหลุดจากการติดเป็นตังเมเหนียวๆนี่ออกมาจากอะไรอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือว่าคลิปวิดีโอ อินเตอร์เน็ต จะยูทูป
จะอะไรทั้งหลาย มาอยู่กับอะไรที่ใจไม่ได้อยากโฟกัส ใจไม่ได้อยากต่อติดไปกับมัน
ถ้าหากว่าเรามีความเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง
คือสร้างความ หรือปลูกฝัง ค่อยๆปลูกฝังความติดใจในตำรา
ในหน้าที่การงานให้มากกว่าการเล่น อันนี้มันก็จะมีความเป็นไปได้จริงหน่อยนะครับ
หรือถ้าหากว่า
เรารู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ชอบในสาขา หรือว่าในการเรียน ในการศึกษาแบบใดนะครับ
ก็ไม่ควรที่จะเลือกตั้งแต่แรก เพราะว่า ถ้าหากว่าเลือกไปแล้ว
หรือว่าไปปักใจไปแล้วว่าจะจบมาทำอาชีพการงานแบบนี้ แล้วมันมารู้ตัวในภายหลังว่า
เอ! เราไม่ได้อยากจะเป็นอย่างไรอย่างหนึ่งที่จะตรงกับการเรียนมา
อย่างนี้มันก็จะยิ่งใช้ชีวิตไป มันก็จะยิ่งมีความรู้สึกว่าเรามาทำอะไรอยู่
เรามาฝืนใจทำอะไรอยู่
แต่ถ้าหากว่ากะจิตกะใจของเรานี่มันผูกอยู่กับหน้าที่การงาน
หรือว่าเป้าหมายอะไรที่ชัดเจนข้างหน้า เราจะรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
มันจะตอบตัวเองได้ มันจะมีความเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีความเต็ม
มันจะมีความอิ่มออกมาจากความรู้สึกภายในว่า นี่เรากำลังทำสิ่งที่มันมีสติอยู่
ทำในสิ่งที่เป็นการสร้างอนาคตให้ตัวเองอยู่
ทำในสิ่งที่มันจะทำให้ชีวิตของเราเป็นปกติ รู้สึกเป็นปกติ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนไม่มีค่า
ไม่ใช่รู้สึกเหมือนไม่มีสติ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนล่องลอยไปเรื่อยๆวันต่อวัน
การที่ ถ้า ๒
ประการนี้นะ คือ ๑ ไม่ติดใจอินเตอร์เน็ตมากเกินไป ไม่ติดใจของเล่น ของสนุก
ของบันเทิงมากเกินไป ๒ คือมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
ถ้าหากว่ามี ๒
อย่างนี้แล้ว เราจะมีสมาธิในการอ่านหนังสือมากขึ้นเอง แต่ถ้าหากว่ามันไม่มี ๒
หลักนี้นี่นะ เราไปพยายามใช้อุบายอะไรก็แล้วแต่ เทคนิคพิสดารขั้นไหน
จะไปฝึกอ่านเร็ว จะไปฝึกอ่านอย่างมีความเข้าใจเกินร้อย อะไรต่างๆที่เขาโฆษณากัน
มันก็ไม่มีผลหรอก
การอ่านหนังสือ
การรักการอ่านนี่มันไม่ใช่เกิดขึ้นจากตัวหนังสือโดยตรง
แต่มันเกิดขึ้นจากเป้าหมายปลายทางในชีวิต ที่จะดูดจิตของเราให้ติดเข้าไปได้
ถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าไม่มีตัวสติ ที่มันจะแยกตัวออกมาจากการละเล่น
การบันเทิง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเล่าเรียนนี่มันน้อยทุกที
ยิ่งวันยิ่งน้อย
ผมเคยไปบรรยายที่โรงเรียนเก่าเมื่อหลายปีก่อน
ครูบาอาจารย์ยังอยู่กันเยอะแยะเลย แล้วก็มีท่านหนึ่งบอกว่า
สมัยเธอนี่ยังเรียนกันบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีคนเกเร ก็มีประมาณคนสองคน
อะไรแบบนี่ปราบกันไม่ยากเท่าไหร่ แล้วคนเกเรนี่ก็ยังเรียนกันบ้าง
แต่สมัยนี้ไม่เรียนกันเลย ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกัน เอาเวลาไปใช้ทำอะไรกันหมด
ผมก็เห็นแหละ
เห็นเด็กกี่คนกี่คน มันก็ไม่แตกต่างกัน ก็คือติดเกม ติดเพื่อน
แล้วก็บางทีก็ติดเพศตรงข้ามนะครับ หรือไม่บางทีก็อยู่ที่ห้างทั้งวัน รอจ้องดู
เดี๋ยวจะดูหนังรอบไหน เดี๋ยวจะไปเข้าตู้เกมตู้ไหน หรือไม่ก็เสร็จออกจากห้างแล้ว
ไปบ้านเพื่อนคนไหนดี อะไรต่างๆมันเหมือนกับชีวิตในยุคไอที
มันมีความก้าวหน้าในแบบที่จะดูดให้กับติดอยู่กับโลกที่ไร้แก่นสาร
แต่ว่ามันมีความก้าวหลัง ถอยหลังเข้าคลอง
ในกรณีที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ให้โลกนี้มันมีความสว่าง มีความเจริญ
รอจ้องกันแต่ว่าจะบริโภคเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็รอจ้องกันแต่ว่าจะได้คุยกับเพื่อน
ได้ระบาย ได้บ่นให้เพื่อนฟัง ว่าวันนี้เรามีความทุกข์อย่างไร ไอ้ลักษณะที่
การที่เราสามารถจะเจอเพื่อนง่ายๆแล้วก็บ่นให้เพื่อนฟังได้ง่ายๆนี่นะ
มันเป็นการก่อสร้างความฟุ้งซ่าน คลื่นความฟุ้งซ่านให้หนาแน่น ชุกชุมนะครับ
คือไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะตัวเรา เกิดขึ้นในตัวเพื่อนด้วย
แล้วก็ตรงนี้มันก็เหมือนกับกลายเป็นโรคระบาด
ขอให้นึกถึงเมืองๆหนึ่ง
ที่มีแต่เมฆหมอกแห่งความมืด แต่ไม่ใช่เมฆหมอกที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า
หรือว่าอยู่บนยอดตึก แต่ว่ามันปรากฏในจิในใจของมนุษย์นี่เองนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น