วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๔๓ อ่านหนังสือไม่เข้าหัว ทำอย่างไรดี?


เป็นคนที่มีปัญหาในการอ่านหนังสือเรียน คือเวลาต้องเข้าโหมดอ่านหนังสือเรียนทีไร จะรู้สึกหดหู่ เบื่อๆ ทำให้บางทีอ่านแล้วไม่เข้าสมอง ต้องอ่านซ้ำๆกว่าจะเข้าใจก็กินเวลาไปเยอะ บางวิชาจะสอบแล้ว ยังไม่ไปถึงไหนเลย มีสมาธิและความอดทนต่ำมาก บางทีมันทึบจัด ไม่มีกำลังใจจะอ่านต่อ ท้อ แล้วก็เลิกอ่านไปเลย จึงขอคำแนะนำว่า ทำอย่างไรถึงจะมีสมาธิกับความอดทนในการอ่านหนังสือเรียนได้นานๆ แล้วก็รวดเร็ว?

ถ้าหากว่าพิจารณาตรงในเรื่องของการเจริญสติ จะเอามาช่วยได้อย่างไร? อย่างที่ผมเคยแนะนำไปกับหลายๆคน แล้วก็บางคนก็ใช้ได้ผล คือมันไม่ใช่ว่าจะได้ผลกันทุกคน มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาจริงแค่ไหนนะครับ แล้วก็แบ็คกราวน์ของเรามีความเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเพียงใดด้วย

เพระว่า ที่ผมพูดอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าบางทีนะ ต้นเหตุของการไม่อยากอ่านหนังสือนี่มันมีหลายอย่างเหลือเกิน เอาหลักๆเลย ปัจจุบันนี่นะ คนอยากจะใช้เวลาไปกับการเล่นสนุก คนยุคไอทีนะครับ มันมีของเล่นเยอะ ตั้งแต่เด็กจนโต พอตอนเด็กๆนี่ก็มีของเล่นกุ๊งกิ๊งๆ แต่ว่าพอตอนโตขึ้นมานะ ยังไม่ทันอะไรนี่ ตอนนี้เด็กทุกคนจะรู้จักไอแพด รู้จักกาแล็กซีแท็บ รู้จักแท็บแล็ตอะไรต่างๆที่มีกันเยอะแยะ หรือว่าบางทีนี่ไม่ต้องไปหาที่ไหน มีรัฐบาลแจกฟรี

ก็เป็นอันว่าอยู่ในโลกยุคไอทีนี่ไม่ต้องห่วงเลยนะครับ มีของล่อตาล่อใจมาแย่งไอ้ความสนใจจากการเรียน นั่นก็คือเพื่อน เพื่อนนี่นะเป็นสิ่งที่มนุษย์อยากจะมีกันที่สุดแหละ ไม่อยากจะมีใครเหงาหรอก ไม่มีใครอยากจะอยู่คนเดียว เดียวดายตามลำพังบนโลกใบนี้ แล้วก็ยุคไอทีนี่ เป็นยุคทองของคนขี้เหงา เพราะว่าเราสามารถใช้ความพยายามเพียงน้อยติดต่อสื่อสารได้กับเพื่อนๆที่อยู่ตรงไหนส่วนใดของโลกก็ได้

หรือถ้าบางคนไม่ชอบอินเตอร์เน็ต แต่ไปชอบดูหนัง ฟังเพลง หรือว่าไปเที่ยวห้าง หรือจะมีเครื่องล่อตาล่อใจอะไรก็แล้วแต่ในรสนิยมส่วนตัว ที่มีความเข้ากันกับตัวตนของเรานะ ไอ้สิ่งเหล่านี้นี่นะ ถ้าหากว่าเราติดใจไปกับมันมากๆแล้ว เวลาที่จะต้องมาทำการงาน หรือว่าจะต้องมาเรียน มันจะมีความรู้สึกเหมือนต้องฝืนใจ เหมือนกับต้องบังคับตัวเอง ต้องออกแรงที่จะยื้อตัวตนที่แท้จริง ให้มันหลุดจากการติดเป็นตังเมเหนียวๆนี่ออกมาจากอะไรอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือว่าคลิปวิดีโอ อินเตอร์เน็ต จะยูทูป จะอะไรทั้งหลาย มาอยู่กับอะไรที่ใจไม่ได้อยากโฟกัส ใจไม่ได้อยากต่อติดไปกับมัน

ถ้าหากว่าเรามีความเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง คือสร้างความ หรือปลูกฝัง ค่อยๆปลูกฝังความติดใจในตำรา ในหน้าที่การงานให้มากกว่าการเล่น อันนี้มันก็จะมีความเป็นไปได้จริงหน่อยนะครับ

หรือถ้าหากว่า เรารู้ตัวว่าเป็นคนที่ไม่ชอบในสาขา หรือว่าในการเรียน ในการศึกษาแบบใดนะครับ ก็ไม่ควรที่จะเลือกตั้งแต่แรก เพราะว่า ถ้าหากว่าเลือกไปแล้ว หรือว่าไปปักใจไปแล้วว่าจะจบมาทำอาชีพการงานแบบนี้ แล้วมันมารู้ตัวในภายหลังว่า เอ! เราไม่ได้อยากจะเป็นอย่างไรอย่างหนึ่งที่จะตรงกับการเรียนมา อย่างนี้มันก็จะยิ่งใช้ชีวิตไป มันก็จะยิ่งมีความรู้สึกว่าเรามาทำอะไรอยู่ เรามาฝืนใจทำอะไรอยู่

แต่ถ้าหากว่ากะจิตกะใจของเรานี่มันผูกอยู่กับหน้าที่การงาน หรือว่าเป้าหมายอะไรที่ชัดเจนข้างหน้า เราจะรู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ มันจะตอบตัวเองได้ มันจะมีความเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีความเต็ม มันจะมีความอิ่มออกมาจากความรู้สึกภายในว่า นี่เรากำลังทำสิ่งที่มันมีสติอยู่ ทำในสิ่งที่เป็นการสร้างอนาคตให้ตัวเองอยู่ ทำในสิ่งที่มันจะทำให้ชีวิตของเราเป็นปกติ รู้สึกเป็นปกติ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนไม่มีค่า ไม่ใช่รู้สึกเหมือนไม่มีสติ ไม่ใช่รู้สึกเหมือนล่องลอยไปเรื่อยๆวันต่อวัน

การที่ ถ้า ๒ ประการนี้นะ คือ ๑ ไม่ติดใจอินเตอร์เน็ตมากเกินไป ไม่ติดใจของเล่น ของสนุก ของบันเทิงมากเกินไป ๒ คือมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน

ถ้าหากว่ามี ๒ อย่างนี้แล้ว เราจะมีสมาธิในการอ่านหนังสือมากขึ้นเอง แต่ถ้าหากว่ามันไม่มี ๒ หลักนี้นี่นะ เราไปพยายามใช้อุบายอะไรก็แล้วแต่ เทคนิคพิสดารขั้นไหน จะไปฝึกอ่านเร็ว จะไปฝึกอ่านอย่างมีความเข้าใจเกินร้อย อะไรต่างๆที่เขาโฆษณากัน มันก็ไม่มีผลหรอก

การอ่านหนังสือ การรักการอ่านนี่มันไม่ใช่เกิดขึ้นจากตัวหนังสือโดยตรง แต่มันเกิดขึ้นจากเป้าหมายปลายทางในชีวิต ที่จะดูดจิตของเราให้ติดเข้าไปได้ ถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ถ้าไม่มีตัวสติ ที่มันจะแยกตัวออกมาจากการละเล่น การบันเทิง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการเล่าเรียนนี่มันน้อยทุกที ยิ่งวันยิ่งน้อย

ผมเคยไปบรรยายที่โรงเรียนเก่าเมื่อหลายปีก่อน ครูบาอาจารย์ยังอยู่กันเยอะแยะเลย แล้วก็มีท่านหนึ่งบอกว่า สมัยเธอนี่ยังเรียนกันบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีคนเกเร ก็มีประมาณคนสองคน อะไรแบบนี่ปราบกันไม่ยากเท่าไหร่ แล้วคนเกเรนี่ก็ยังเรียนกันบ้าง แต่สมัยนี้ไม่เรียนกันเลย ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกัน เอาเวลาไปใช้ทำอะไรกันหมด

ผมก็เห็นแหละ เห็นเด็กกี่คนกี่คน มันก็ไม่แตกต่างกัน ก็คือติดเกม ติดเพื่อน แล้วก็บางทีก็ติดเพศตรงข้ามนะครับ หรือไม่บางทีก็อยู่ที่ห้างทั้งวัน รอจ้องดู เดี๋ยวจะดูหนังรอบไหน เดี๋ยวจะไปเข้าตู้เกมตู้ไหน หรือไม่ก็เสร็จออกจากห้างแล้ว ไปบ้านเพื่อนคนไหนดี อะไรต่างๆมันเหมือนกับชีวิตในยุคไอที มันมีความก้าวหน้าในแบบที่จะดูดให้กับติดอยู่กับโลกที่ไร้แก่นสาร แต่ว่ามันมีความก้าวหลัง ถอยหลังเข้าคลอง ในกรณีที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ให้โลกนี้มันมีความสว่าง มีความเจริญ รอจ้องกันแต่ว่าจะบริโภคเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้วก็รอจ้องกันแต่ว่าจะได้คุยกับเพื่อน ได้ระบาย ได้บ่นให้เพื่อนฟัง ว่าวันนี้เรามีความทุกข์อย่างไร ไอ้ลักษณะที่ การที่เราสามารถจะเจอเพื่อนง่ายๆแล้วก็บ่นให้เพื่อนฟังได้ง่ายๆนี่นะ มันเป็นการก่อสร้างความฟุ้งซ่าน คลื่นความฟุ้งซ่านให้หนาแน่น ชุกชุมนะครับ คือไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะตัวเรา เกิดขึ้นในตัวเพื่อนด้วย แล้วก็ตรงนี้มันก็เหมือนกับกลายเป็นโรคระบาด

ขอให้นึกถึงเมืองๆหนึ่ง ที่มีแต่เมฆหมอกแห่งความมืด แต่ไม่ใช่เมฆหมอกที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า หรือว่าอยู่บนยอดตึก แต่ว่ามันปรากฏในจิในใจของมนุษย์นี่เองนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น