วันนี้อารมณ์ร้อนผิดปกติ
เลยพาลทะเลาะกับคนรอบข้างไปหมดเลย?
ดังตฤณ :
อากาศช่วงนี้น่าเห็นใจจริงๆนะ ถ้าใครถูกกดดันด้วยความร้อนเนี่ยก็คงจะต้องบอกว่า โอเค หยวนๆกันได้ มันเป็นไปได้ ช่วงนี้คงไม่ว่ากัน แต่เราก็ใช้เป็นสถานการณ์ที่เอาไว้ฝึกหัดได้ ไม่ใช่มีแต่จะบอกกันว่า เออ หยวนๆหรือว่า โอเค เห็นใจ คือเห็นใจเนี่ย มันมีเห็นใจอยู่สองอย่าง เห็นใจด้วยความรู้สึกเข้าใจแล้วก็เหมือนกับเห็นหัวอกนะ กับเห็นใจคือเห็นใจตนว่ามีลักษณะแบบนี้ มีความร้อน มีความเป็นโทสะ มีความเป็นอกุศล ถ้าหากว่าเห็นใจแบบนั้นได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่านั่นคือการเจริญสติ คือการทำให้ปัญญารุ่งเรืองขึ้นโดยตรง
อากาศช่วงนี้น่าเห็นใจจริงๆนะ ถ้าใครถูกกดดันด้วยความร้อนเนี่ยก็คงจะต้องบอกว่า โอเค หยวนๆกันได้ มันเป็นไปได้ ช่วงนี้คงไม่ว่ากัน แต่เราก็ใช้เป็นสถานการณ์ที่เอาไว้ฝึกหัดได้ ไม่ใช่มีแต่จะบอกกันว่า เออ หยวนๆหรือว่า โอเค เห็นใจ คือเห็นใจเนี่ย มันมีเห็นใจอยู่สองอย่าง เห็นใจด้วยความรู้สึกเข้าใจแล้วก็เหมือนกับเห็นหัวอกนะ กับเห็นใจคือเห็นใจตนว่ามีลักษณะแบบนี้ มีความร้อน มีความเป็นโทสะ มีความเป็นอกุศล ถ้าหากว่าเห็นใจแบบนั้นได้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่านั่นคือการเจริญสติ คือการทำให้ปัญญารุ่งเรืองขึ้นโดยตรง
ถ้าหากว่าเราสามารถทุกครั้งนะที่เกิดความโกรธ
บันดาลโทสะขึ้นมาจะคุมได้ หรือคุมไม่ได้ไปแล้วก็แล้วแต่
ถ้าหากว่าเราเห็นว่านั่นกำลังเป็นอกุศลอยู่ อกุศลนั้นจะเป็นชนวนให้เกิดกุศลทันที
มีคำอยู่ในคัมภีร์นะครับบอกว่า เมื่อใดที่สติเกิดในขณะที่เราเกิดอกุศลจิต
จะด้วยโทสะหรือด้วยโลภะที่แก่กล้าอย่างไรก็แล้วแต่ ทันทีที่สติเกิด
มีความรู้ว่าโทสะมันกำลังแสดงความเร่าร้อน หรือว่าโลภะมันกำลังแสดงภาวะปั่นป่วน
สติตัวนั้นจะแปลงจิตให้เป็นกุศล ถือว่า ณ ขณะนั้นสติเป็นมหากุศลนะครับ
ไม่ใช่กุศลธรรมดานะ
ก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน
ช่วงนี้ถ้าหากว่ารุ่มร้อนมาก หงุดหงิดมาก เรามาดูกันนะว่า
เรามาพิสูจน์กันว่าที่พระคัมภีร์ว่าไว้เนี่ย เป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า
ถ้าหากว่าเรามีสติรู้นะว่า ขณะนั้นกำลังเกิดความโมโหโกรธา
แล้วรู้ว่าเป็นลักษณะของอกุศลนะ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมา
ถ้าจิตจะเปลี่ยนเป็นกุศลได้จริงนะ หลังจากเกิดสติรู้เนี่ย
เราจะมีความรู้สึกผ่อนคลายลง มีความรู้สึกเบิกบานขึ้น มีความรู้สึกเยือกเย็นลง
เนี่ยตรงนี้เนี่ย ถ้าหากว่าพิสูจน์ได้แล้วเราเกิดความรู้สึกขึ้นมา
จะเป็นวูบๆวาบๆยังไงก็แล้วแต่ เห็นว่าลักษณะของจิต ธรรมชาติของจิตไม่ใช่ตัวตน
มีเหตุปัจจัยให้เกิด เดี๋ยวมืดบ้างเดี๋ยวสว่างบ้าง ตรงนี้เป็นมหากุศลอย่างยิ่งนะ
เป็นสิ่งที่เป็นมหามงคลของชีวิตเลย เพราะว่านั่นแหละคือต้นทางสู่นิพพาน
เมื่อสามารถเห็นจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนได้ ช่วงนี้แหละที่เป็นช่วงที่เราจะเห็นความไม่สามารถควบคุมจิต จิตมันต้องกระสับกระส่าย ระส่ำระสาย ทุรนทุราย ด้วยอากาศนะครับ ถ้าหากว่าเราเห็นว่าอาการทุรนทุรายของจิต มันเป็นเพียงลักษณะหนึ่ง เป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งชนิดหนึ่งนะ มันเปลี่ยนได้ มันแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นได้หลังจากเกิดสติ ตัวนี้แหละประตูนิพพาน
เมื่อสามารถเห็นจิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนได้ ช่วงนี้แหละที่เป็นช่วงที่เราจะเห็นความไม่สามารถควบคุมจิต จิตมันต้องกระสับกระส่าย ระส่ำระสาย ทุรนทุราย ด้วยอากาศนะครับ ถ้าหากว่าเราเห็นว่าอาการทุรนทุรายของจิต มันเป็นเพียงลักษณะหนึ่ง เป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งชนิดหนึ่งนะ มันเปลี่ยนได้ มันแสดงความไม่เที่ยงให้เห็นได้หลังจากเกิดสติ ตัวนี้แหละประตูนิพพาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น