วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๘๘ ไม่อยากหยั่งรู้จิตผู้อื่นได้


ไม่อยากรู้จิตของใครเลย แต่มองหน้าแล้วทำไมเหมือนมีใครเอาข้อมูลใส่สมองเราประจำเลยคะ?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/Mx14cOUgWMM


ดังตฤณ : 
ก็ไม่เป็นไรนะ คือถ้ารู้เนี่ย เราก็รู้ตามหลักที่พระพุทธเจ้าประทานไว้ก็แล้วกัน มันมีประโยชน์เหมือนกันนะ บางคนเนี่ยคือจิตมีแต่ม้วนเข้าหาตัว มีแต่โลกส่วนตัว รู้แต่เรื่องความอยากของตัวเองอย่างเดียวเนี่ย บางทีมันถึงขั้นที่ว่าสงสัยแปลว่า เอ๊ะ นี่ ที่รู้ ที่เห็น ที่เกิดประสบการณ์ต่างๆนานาอยู่เนี่ย มันเป็นความฝันของเราคนเดียวหรือเปล่า คนอื่นเค้ารู้สึก คนอื่นเค้านึกคิด คนอื่นเค้ารู้เค้าเห็นแบบที่เรารู้เห็นหรือเปล่า นี่มีแบบนี้กันเยอะเหมือนกันนะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่หมกมุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองมากๆ แต่ถ้าหากว่าเรามองหน้าใคร แล้วสามารถรู้สึกถึงความรู้สึกนึกคิดของเค้าได้ อันนี้ก็เรียกว่าจูนจิต จิตของเราเนี่ยจูนเป็นเครื่องรับได้ ก็มีประโยชน์ แต่ขอให้รู้วิธีใช้ประโยชน์ก็แล้วกัน

พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ หลักการที่เราจะสามารถทิ้งความเป็นเขา ทิ้งความเป็นเรา ตัดทำลายอุปาทานที่มีเรา มีเขาไปได้ก็คือ เห็นภาวะทั้งภายในของเรา และก็เห็นทั้งภาวะภายนอก ซึ่งเป็นของเค้าว่าล้วนไม่เที่ยง แสดงความเปลี่ยนแปลงให้เห็นอยู่ตลอดเวลา เริ่มจากเอาของเราก่อน ถ้าหากว่าเราเกิดความรู้สึกรำคาญคน ไม่ชอบที่จะเห็นใครแล้วเกิดความระคาย มันแตกต่างจากจิตของเรา จิตของเราไม่อยากเบียดเบียน จิตของเค้ามันอยากเบียดเบียน จิตของเราไม่อยากที่จะทำอะไรให้มันซับซ้อน จิตของเค้ามันอยากทำอะไรให้มันยุ่งยากนะครับ ด้วยความต่างแบบนี้เกิดความระคายเคืองขึ้นมา

เราเห็นปฏิกิริยาทางใจของเราก่อนเป็นอันดับแรกว่าปฏิกิริยาแบบนี้ ความขัดเคืองแบบนี้ ความไม่ชอบใจแบบนี้ มันเป็นอะไรที่ปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวจากการกระทบกระทั่ง มีสิ่งภายนอกมากระทบใจ แล้วใจเกิดความรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาหรือว่ามีความรู้สึกกระเพื่อม มีความรู้สึกสะเทือนขึ้นมานะ บางทีไม่ถึงขั้นขัดเคืองหรอก แต่ว่ามันสะเทือน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ดี ก่อความรู้สึกไม่พึงใจ พอเห็นถนัดว่าปฏิกิริยาทางใจของเรา มันปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็หายไป

ณ เวลาที่หายไป ใจเราจะรู้สึกว่างๆ ใจเราจะรู้สึกคลายจากอาการยึดว่า เนี่ยความไม่ชอบ เนี่ยเป็นความไม่ชอบของเรา จิตที่ว่างนั้นเมื่อเอาไปรู้อะไร มันก็จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันว่าง มันกลวง มันไม่มีอะไร มันไม่ควรที่จะไปยึดมั่นถือมั่น แม้กระทั่งความสามารถในการรับรู้ภาวะจิตของคนอื่นเนี่ยนะ เราก็จะรับรู้ไปในแบบที่ว่าภาวะของเค้าเนี่ย ไม่ต่างจากภาวะของเรา ของเราอย่างไรของเค้าอย่างนั้น ของเราเป็นยังไง ของเรามันไม่เที่ยง ถูกปรุงแต่งขึ้นชั่วคราวด้วยอะไรอย่างหนึ่งที่มากระทบกระทั่ง ของเค้าก็เหมือนกัน เค้ากำลังพูด เค้ากำลังคุย เค้ากำลังดูอยู่กับอะไรก็แล้วแต่ จิตเค้าก็ถูกปรุงแต่งให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นในเรา แล้วแป๊บนึง พอแรงส่งของสิ่งกระทบต่างๆมันหมดลงเนี่ย อาการทางใจของเค้าก็ระงับ ปฏิกิริยาทางใจมันก็หายไป แรงส่งหมด ปฏิกิริยาก็หมด เนี่ยไม่แตกต่างจากของเรา รู้โดยความเป็นอย่างนี้ สังเกตโดยความเป็นอย่างนี้ ทุกที่ที่มีความรู้อย่างนี้จะเกิดปัญญา ไม่เกิดความระคาย ไม่เกิดความรำคาญ แล้วก็จะได้เลิกมีความรู้สึกไม่อยากรู้จิตของใครเลย

ตัวไม่อยากรู้จิตของใครเลยตัวนี้เนี่ยนะ ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นเฉยๆก็ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดการปลุกสตินะ เกิดความรู้แนวทางขึ้นมาว่า จะรับมือกับมันอย่างไร เห็นภาวะของเค้าโดยความเป็นของไม่เที่ยง เนี่ยตรงนี้จบเลย บางทีเนี่ยพูดมันง่ายนะ แต่ว่าตอนทำจริงๆ ณ เวลาเกิดประสบการณ์ตรงเนี่ย ภาวะทางใจของเราเนี่ย จะมีความหลากหลายมาก แต่ไม่ว่าจะหลากหลายแค่ไหนนะ สิริรวมแล้วเนี่ย มันก็แบ่งได้แค่สองแบบนั่นแหละคือ ชอบกับไม่ชอบ ถ้าหากว่าไม่ชอบนะเราก็รู้ว่าไม่ชอบ ถ้าหากว่าชอบเราก็รู้ว่าชอบ ถ้าหากว่ามันเปลี่ยนไปนะครับจากชอบเป็นเฉย หรือจากไม่ชอบเป็นเฉยเนี่ย เราก็รับรู้ว่ามันเปลี่ยนไป ว่ามันต่างไป

อาการรู้ เห็นภาวะที่มันเกิดขึ้นตามจริงนั่นแหละ มันจะนำไปสู่การสรุป มันจะนำไปสู่การตัดสินด้วยใจว่า อะไรๆทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก ล้วนแล้วแต่แสดงความไม่เที่ยงทั้งสิ้นนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น