ถาม : เป็นคนที่กังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาก
ถ้าสิวขึ้นหรือถ้าไปซื้อเครื่องสำอาง แล้วมีคนทักว่าเป็นสิว หน้ามัน
จะรู้สึกเครียดมากเลยค่ะ จะทำอย่างไรให้เราหายโกรธได้คะ ?
ดังตฤณ :
เรื่องของการถูกทักว่าหน้าตาเป็นอย่างไร มีสิวขึ้น มีลักษณะดูไม่ดีอะไรต่างๆ นานา
ไม่ใช่เป็นเฉพาะผู้หญิงนะ ผู้ชายก็เป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีพื้นฐานที่รู้สึกว่า มองเงาของตัวเองในกระจกแล้วมันน่าจะดูดี
น่าจะใช้ได้เลย น่าจะไม่อายใครเขา ถ้าเป็นผู้ชายก็บอกว่าหล่อ ถ้าเป็นผู้หญิงก็บอกว่าหน้าสวย
แต่ถ้าหากมันสวยไม่ได้ถาวร หล่อไม่ได้ถาวร
อย่างแม้แต่ตัวเราเองตื่นขึ้นมา ลองสังเกตใจตัวเองเวลาตื่นขึ้นมา
ถ้าหากเรารู้สึกว่าตัวเองหน้าตาดีใช้ได้เลย มันจะมีการเปรียบเทียบในแต่ละวันว่า
เงาที่สะท้อนตอบกลับมาจากในกระจก ดูดีหรือว่าดูแย่ลง
ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือว่าแย่ลงกว่าเมื่อวาน มันจะคอยมีใจที่เล็งอยู่อย่างนี้
ตื่นเช้าขึ้นมาเอาเลย แล้วพอออกจากบ้านไปเจอคนทักว่า
ดูดีขึ้นกว่าวันก่อนเยอะแยะเลย ดูเหมือนกับขาวขึ้น ผ่องขึ้น นวลขึ้น
หรือว่าวันนี้ดูแจ่มใสนะ เอาแค่คำว่าแจ่มใสคำเดียวมันถูกใจแล้ว ตรงกัน
เป็นจิตใจแบบเดียวกันกับตอนที่เราส่องกระจกเงาดูตัวเอง
แล้วเทียบเคียงว่าแตกต่างจากที่ผ่านมาอย่างไร ดีขึ้นหรือว่าแย่ลง
ถ้าหากว่าเราเห็นตัวเองในกระจกเงาดีขึ้น เราก็จะรู้สึกว่าวันนั้นมีความมั่นใจ
วันนั้นมีความชื่นใจ วันนั้นมีความเบิกบานใจ ลองสังเกตดูอย่างนี้นะ
พอวันไหนดูโทรมลงหรือว่าดูเหี่ยวๆ หรือว่าดูเหมือนกับอับเฉา
เหมือนกับบัวแล้งน้ำอะไรแบบนั้น พลอยจิตใจก็จะห่อเหี่ยวตามไปด้วย ทั้งๆ
ที่ตื่นขึ้นมาบางทีนะ ยังมีความรู้สึกสดชื่น ยังมีความรู้สึกนอนเต็มอิ่ม
แต่พอเห็นเงาในกระจกปุ๊บ ใจฝ่อลงทันที พอเทียบดูแล้วมันไม่ดูดีเหมือนเมื่อวาน
หรือว่าเมื่อวันก่อนๆ ยิ่งมาเจอคนทัก ยิ่งตอกย้ำเข้าไปใหญ่
ความรู้สึกแบบนี้ถ้าเราค่อยๆ สังเกตไป มันจะมีอยู่แค่สองแบบ คล้ายๆ
กับลูกโป่งที่โป่งขึ้นมาด้วยแรงลมอัดเข้าไป จริงๆ
นะอาการพองของใจเหมือนลูกโป่งจริงๆ ลูกโป่ง เห็นไหม ถ้ายังไม่มีลมมันจะเหี่ยว
จะมีรอยยับ แต่ถ้าโป่งขึ้นมาจะตึงและจะป่อง
ป่องได้มากเท่าที่ความทนทานของหนังยางมันจะรับแรงลมได้ รับแรงอัดของลมได้
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราสังเกตไปเรื่อยๆ สังเกตคือไม่ใช่สังเกตหน้าอย่างเดียว
สังเกตใจ ตอนเห็นหน้าตาดูดีขึ้น มันมีความพอง มีความอิ่มเอิบ มีความเหมือนสดชื่น
เหมือนกับดอกไม้ที่ได้รับน้ำ หรือว่าได้รับแสงแดดอย่างดี มันมีความรู้สึกอย่างไร
จำไว้ ต้องจำไว้นิดหนึ่ง ความรู้สึกเป็นสิ่งที่จดจำได้นะ จดจำได้เหมือนกับหน้าตาที่สดชื่นบ้างห่อเหี่ยวบ้างนั่นแหละ
แล้วเมื่อไรที่เราเกิดความห่อเหี่ยวอันเนื่องจากเห็นหน้าตาตัวเองในกระจกเงาดูไม่ดีหรือว่าดูแย่
มีสิวหรือว่าหน้ามัน อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรก็จำไว้ด้วย
จำไว้เรื่อยๆ อย่าจำแต่ใบหน้า ลองสังเกต ถ้าเราไม่ดูเข้าไปที่ความรู้สึกภายใน
มันจะจำแต่ใบหน้าว่าเหี่ยวลงอย่างไร หรือว่าเต่งตึงขึ้นสดชื่นขึ้นอย่างไร
มีความขาวมีความใสขึ้นอย่างไร เราจะจำแต่สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่เมื่อสังเกตเข้ามาที่ใจควบคู่ไปด้วย เราจะจำอะไรขึ้นมาได้มากขึ้น
อันนี้ต้องทำกันเป็นสิบๆ ครั้ง จึงจะเกิดการจำได้ขึ้นมา จำได้ขึ้นมาแบบชัดๆ
ว่าลักษณะจิตใจเบิกบานเป็นแบบหนึ่ง ลักษณะจิตใจที่ห่อเหี่ยวเป็นอีกแบบหนึ่ง
เมื่อเห็นบ่อยๆ เข้า ตอนแรกไม่ได้จะให้ทำอะไรทั้งสิ้น จำไว้เฉยๆ
ว่าหน้าตาของจิตใจเป็นอย่างไร จะโดนคนทักหรือว่าจะเห็นตัวเองจากกระจกเงาก็ตาม
เสร็จแล้ว พอเริ่มบ่อยเข้าๆ เราเริ่มจำได้แล้วว่า
เบิกบานตอนเห็นหน้าตาดีเป็นอย่างนี้
และห่อเหี่ยวตอนกำลังหน้าตายู่ยี่หรือหน้าตาไม่ค่อยดีเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ก็เปรียบเทียบได้ชัดเจนว่า จิตใจห่อเหี่ยวกับจิตใจชื่นบานแตกต่างกันอย่างไร
เราจะมีความรู้สึกคล้ายๆ กันเลย คล้ายๆ
กับตอนที่เห็นใบหน้าของตัวเองดีบ้างไม่ดีบ้าง
หรือว่าเห็นใบหน้าของตัวเองสิวขึ้นแล้วตกใจ อาการตกใจจำได้ควบคู่กันไปด้วย
กับเห็นสิวหายแล้วรู้สึกดีใจ สิวหายแล้วดีใจกับตอนสิวขึ้นแล้วตกใจต่างกันอย่างไร
ถ้าจำได้ก็จะเห็นเป็นทั้งใบหน้าที่อยู่ในกระจกเงาด้วย แล้วก็เห็นจิตของตัวเองที่อยู่ข้างใน
เบื้องหลังของใบหน้านั้นด้วย พอเห็นไปเปรียบเทียบไป นึกถึงขึ้นมา
พอนึกถึงอาการตกใจหรือนึกถึงอาการดีใจขึ้นมา
เราจะพบว่าเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราว ไม่ต่างกับสิวขึ้นหรือสิวหาย
ไม่ต่างกับหน้ามันบ้างหน้าแห้งบ้าง หน้าสะอาดบ้างหน้าสกปรกบ้าง
ไม่มีความแตกต่างกันโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นอนิจจังแล้วมันเหมือนกัน
ทั้งรูปภายนอกและทั้งใจภายใน
ตอนแรกๆ คุณจะยังไม่เห็นนะว่า เราจะรู้ไปอย่างนี้เพื่ออะไร
แต่พอเห็นไปบ่อยๆ สักประมาณว่าครั้งที่ยี่สิบสามสิบ
หรือว่าครั้งที่ร้อยเป็นอย่างช้า คุณจะเริ่มเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา
นั่นคือ ทั้งตกใจทั้งดีใจ ทั้งเสียใจทั้งสบายใจ ทั้งเบิกบานทั้งห่อเหี่ยว เป็นแค่ของที่ผ่านมาแล้วจะผ่านไป
แต่ถ้าไม่ฝึกมอง ไม่ฝึกดู ไม่ฝึกสังเกตไว้โดยความเป็นอย่างนี้
สิ่งที่เราจะจำอยู่ตลอดเวลาก็คือ เรากำลังสิวขึ้น
แล้วมันจะเป็นความรู้สึกที่กัดกินใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ผ่านไป จะมีความรู้สึกแม้กระทั่งว่า พอสิวหายไปแล้ว
ตื่นขึ้นมายังกังวลอยู่เลยว่า เดี๋ยวจะกลับมาเป็นอีกเมื่อไร แล้วก็จะคอยระวังรักษา
คือระวังรักษาน่ะดีนะไม่ใช่ไม่ดี
แต่คนที่ระวังรักษาส่วนใหญ่ ไม่ใช่ระวังรักษาอย่างมีความคาดหวังที่ถูกต้อง
มันมีความคาดหวังกันผิดๆ ว่า ถ้ารักษาความสะอาดดีๆ แล้ว ถ้าใช้ยาดีๆ แล้ว
มันจะไม่ขึ้นมาอีกเลย นี่คือความคาดหวังชนิดที่มองไม่เห็นอนิจจัง
มองไม่เห็นว่าต่อให้เราใส่เหตุปัจจัยด้านดีเข้าไปอย่างไร
ถ้าหากว่าปัจจัยด้านร้ายยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ
ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เรากินเข้าไป
หรือแม้แต่กระทั่งน้ำประปาที่เราใช้ล้างหน้า ทุกอย่างเป็นปัจจัยแวดล้อม
ที่ถ้าหากว่ามันลงตัวจะให้เกิดสิวแล้ว สิวก็ต้องเกิดจนได้
ไม่ว่าเราจะระวังรักษาอย่างไรก็ตาม
พอมองออกว่า ทั้งเป็น ทั้งหาย หรือว่าทั้งหน้ามัน
ทั้งหน้าแห้ง เป็นไปตามเหตุปัจจัยชั่วคราว
เราแค่ได้แต่บำรุงรักษาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่คาดหวังว่าจะดูดีอยู่ตลอดเวลา
แค่นี้ใจก็เป็นสุขมากขึ้นแล้ว การไม่คาดหวัง อยู่ๆ เราไปสั่งมันไม่ได้
แต่เราต้องอาศัยการสังเกตเอาตามจริง ซึ่งวิธีสังเกตตามจริงก็ไม่มีอะไรดีไปกว่า
การยอมรับเอาตรงๆ ว่าตอนนี้กระจกเงาเขาบอกนะว่าสิวขึ้นอยู่ กระจกเงาเขาบอกเรานะว่าหน้ามันอยู่
เวลาไปเจอคนพูดให้ได้ยินกับหู เป็นการซ้ำเติมเข้ามา ก็ให้คิดเสียว่า
นั่นคือกระจกเงาที่อยู่ในธรรมชาติ ที่อยู่ตามท้องถนน ไม่ใช่กระจกเงาในห้องนอน
ความรู้สึกก็ไม่ต่างกันหรอก
มันก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรไปกว่าตอนที่เราเห็นตัวเองในกระจกเงา เป็นความรู้สึกเดียวกันคือ
ฟูขึ้นมาแล้วก็แฟบลงไป ตรงความสามารถสังเกตเห็นตามจริงว่า
เดี๋ยวมันก็ฟูเดี๋ยวมันก็แฟบ เดี๋ยวมันก็ดีเดี๋ยวมันก็แย่ลง
ตรงนั้นแหละที่จะทำให้เราลดความคาดหวังลงได้ อย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
ไม่ใช่บังคับขืนใจตัวเองว่าจะต้องระงับความคาดหวังให้ได้ จะต้องทำใจให้ได้
มันไม่ทำหรอก มันไม่ลดความคาดหวังหรอก
มันจะยังคาดหวังเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมขึ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตคนนะ
ถ้าเราทำความรู้จักกับคนไปมากๆ ต่อให้อายุ ๔๐ ๕๐ ๖๐
ก็ยังเฝ้าสังเกตหน้าตาตัวเองในเงากระจกอยู่ดีแหละ มันก็ยังแคร์
ก็ยังมีความรู้สึกอยากจะตีโพยตีพายกับคำวิจารณ์ที่คนตามท้องถนนเขาวิจารณ์ใส่เรามา
แต่ถ้าหากว่าเราอายุแค่นี้ แล้วเริ่มฝึกหัดที่จะมองทั้งใบหน้าของตัวเอง
แล้วก็ทั้งสภาพจิตใจของตัวเองที่เป็นปฏิกิริยาตอบกลับกับสภาพใบหน้าของตัวเองนี่นะ
ฝึกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยง ในที่สุดแล้ว อีกแค่ปีสองปีไม่ต้องอายุมากเท่าไร
เราจะเริ่มมีใจที่สบายขึ้นกับใบหน้า
แล้วก็แม้แต่ปฏิกิริยาทางใจที่มันจะออกมาเป็นดีหรือเป็นร้าย
ตรงนี้ต้องย้ำนิดหนึ่ง ไม่ใช่แกล้งเห็นความไม่เที่ยง
เดี๋ยวทบทวนกันอีกทีคือ สังเกตก่อนว่าเห็นหน้าตาตัวเองไม่ดี
หรือว่าฟังว่าคนอื่นเขาว่าหน้าตาเราไม่ดีอย่างไร รู้สึกอย่างไร
จำความรู้สึกให้ได้ก่อน จำๆๆ ไป ไม่ต้องให้มีอะไรมากไปกว่านั้น
จนกระทั่งจำได้จริงๆ แล้วเปรียบเทียบกันระหว่างแย่กับดี ระหว่างที่ฟูกับแฟบ
มันจะเริ่มรู้สึกขึ้นมาเองว่า ทั้งฟูทั้งแฟบมันเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็หายไป
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วมันก็จะมองย้อนกลับมาว่า แปลกนะ พอเราไม่ยึดมั่นถือมั่น
พอเรารู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
กลายเป็นว่าใบหน้าดูดีขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะว่า เมื่อใจนะ ขอให้จำไว้เลย
ถ้าเมื่อไรใจของเรามีความปล่อยวางอย่างเป็นธรรมชาติ ปล่อยวางจริงๆ
ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรมาก มันจะไม่มีความโลภมาปรุงประกอบ
จะไม่มีความคาดหวังมาทำให้หัวใจบีบคั้นหรือว่าผิวหนังมีอาการคล้ำหมองขึ้นมา
ลักษณะของจิตใจที่ปล่อยวางจะมีเมตตา จะมีความสบาย จะมีความสุข
ซึ่งทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ทำให้รัศมีรอบตัวของเราน่ามอง คุณเคยเห็นไหม
บางคนหน้าตาไม่สวย บางคนหน้าตาไม่หล่อ แต่มีอะไรบางอย่างที่จับตาคนได้
มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดสายตาคนให้เข้าไปมองว่า มันมีอะไรบางอย่างที่งดงาม
มีอะไรบางอย่างที่ดูดี มีอะไรบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเป็นบวกได้
ทำให้รู้สึกเป็นกุศล ทำให้มองแล้วรู้สึกว่าเย็นใจเย็นตาได้
นั่นแหละคือรัศมีของใจที่มีความสุข คือรัศมีของใจที่มีความเต็ม
บางคนต่อให้หน้าตาสวยหรือว่าหล่อมากๆ เลยนะ แต่ว่าจิตใจไม่เต็ม จิตใจแหว่งวิ่น
จิตใจคับแคบ จิตใจมืดมน คนเห็นเขาก็เกิดความรู้สึกไม่อยากมอง
คือหลังจากที่มองหน้าตาจนอิ่มแล้ว และอยู่ใกล้ชิดมากพอ จะรู้สึกจืด
จะรู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างผลักดันให้อยากเมินมากกว่าที่จะอยากจ้อง
ถ้าคุณเคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน
ขอให้ทราบเถอะว่านั่นแหละเป็นประสบการณ์ตรงที่คุณได้สัมผัสใจที่มันไม่มีความสุขของคนหล่อคนสวยเข้าแล้ว
คนหล่อคนสวยถ้าไม่มีความสุข อยู่ใกล้แล้วจะน่าเบื่อ อยู่ใกล้แล้วจะน่าเมิน
อยู่ใกล้แล้วมีความรู้สึกอึดอัด อยู่ใกล้แล้วมีความรู้สึกว่าใจเราพลอยมืดตามไปด้วย
สรุปก็คือ
ถ้าเมื่อไรที่ใจของเราสามารถมองเห็นความไม่เที่ยงของหน้าตา
แล้วก็ความรู้สึกของตัวเองได้ มันจะถอยออกมาเป็นอิสระ จะมีความเบิกบาน
จะมีความน่าอยู่ใกล้ จะมีความน่ามองมากกว่าที่จะเป็นความน่าสนใจที่มองได้ง่ายๆ
คร่าวๆ จากภายนอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น