ถาม : หมอดูทักคุณแม่ว่าอีก
๕ ปีคุณแม่อาจจะไม่อยู่แล้ว กังวลกันมาก ควรจัดการใจตัวเองและแนะนำคุณแม่อย่างไรดี? วิธียืดอายุที่พอจะทำได้ในทางพุทธ?
ดังตฤณ: เป็นปัญหาที่เกิดจากการไปดูหมอ
ถ้าหากว่าหมอดูสามารถล่วงรู้อนาคตได้จริงๆ
แล้วนำมาเปิดเผยมันก็มีข้อเสียอยู่อย่างนี้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย
เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างรุนแรง จะเป็นความตาย หรือว่าจะพิการ
หรือว่าจะมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่สูญเสียไปก็ตาม
พอรู้แล้วมันก็เหมือนกับจิตใจหดหู่ห่อเหี่ยวไปล่วงหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ล่วงหน้าไป ๕ ปี ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างใน ๕
ปีจะดีขึ้น แต่ว่าเราจะต้องมีทุกข์ล่วงหน้าไปถึง ๕ ปี
อันนี้เป็นผลข้างเคียงของการรู้อนาคต รู้จริงหรือรู้ไม่จริงขอยกไว้ก่อน
การนั่งทางในก็มีหลายทาง หลายตำรา หลายวิชา หลายความสามารถ หลากหลายมิติ
และทางพุทธเราก็มีการพูดถึงเรื่องความสามารถในการทายทักอนาคตกันด้วย แต่โดยปกติ
ถ้าหากเป็นพระผู้รู้แจ้ง ผู้รู้จริงที่สามารถเห็นกรรมเก่าของคนว่าจะผลิดอกออกผล
จะเผล็ดผลเมื่อไหร่ ปีไหน เดือนไหน ถ้าท่านพิจารณาแล้วว่า พูดไปแล้วมีแต่จะเสีย
พูดไปแล้วมีแต่จะทำให้เขาไม่สบายใจและช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ ท่านก็จะไม่พูด
เพราะเท่ากับทำให้คนๆหนึ่งเป็นทุกข์ไปล่วงหน้า แทนที่จะไปทุกข์เมื่อถึงเวลานั้น
ก็ทุกข์ตั้งแต่วันนี้เลย นับไปอีก ๕ ปี ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้ที่รู้แจ้ง
ผู้รู้จริงที่ท่านจะทำกัน ที่ไปดูมา เรามองกันด้วยมุมมองอย่างนี้ก่อน
มุมมองต่อไปที่อยากจะบอกคือ ในทางพุทธแล้ว
ความตายที่ชัดเจนที่แน่นอน คือสมมุติว่าเคยทำกรรมหนักจริงๆอย่างเช่น
ไปเผาคนทั้งเมืองแล้วตั้งใจย่างสดให้ตกตายแบบชนิดที่ว่าขุดฆ่าล้างโคตร
ซึ่งเป็นกรรมที่หนักมากๆ ใช้กำลังใจในการฆ่าที่หนักแน่นมากๆนี่
เวลาที่กรรมผลิดอกออกผล ก็อาจจะให้ผลเป็นการตายที่ชัดเจนแน่นอน
และไม่มีการหลีกเลี่ยงได้ แต่ส่วนใหญ่ คราวถึงฆาต หรือจะต้องพิการ
หรือจะต้องมีอันเป็นไป ถ้ากรรมของคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำไว้หนักเกิน
จะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ หรือไม่ก็สามารถที่จะให้งดไปเลยก็ได้
ยกตัวอย่างกรณีของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้เป็นนัยๆกับพระอานนท์
คือท่านรู้แล้วว่า พอท่านมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ท่านจะต้องเสด็จดับขันธปรินิพพาน
แต่ท่านก็เปรยกับพระอานนท์ว่า หากมีการเจริญอิทธิบาท ๔ ซึ่งหมายถึงอิทธิบาท ๔
ในการเข้าไปรู้ เข้าไปดูขันธ์ เข้าไปบำรุงขันธ์ เข้าไปพยาบาลขันธ์
ก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ไปได้ตลอดกัป ความหมายของกัปในที่นี้คือถึง ๑๒๐ ปี
หมายถึงว่าช่วงอายุคนในครั้งพุทธกาลอยู่ได้ถึง ๑๒๐ ปีสบายๆ ท่านตรัสเป็นนัยๆอยู่ ๓
ครั้ง แต่ด้วยความที่มีอะไรบางอย่างทำให้พระอานนท์ไม่ทันคิด
ก็เลยไม่ได้ทูลอาราธนาไว้ สรุปคือพระพุทธเจ้าก็ปลงอายุสังขารว่าจะเสด็จดับขันธ์ตามกำหนดคือครบพระชนมายุได้
๘๐ พรรษาก็ดับขันธปรินิพพาน แสดงให้เห็นว่า
ถ้ารู้หลักการซึ่งจะเป็นหลักการอะไรก็แล้วแต่ มันยืดอายุได้
และที่เคยเห็นจากประสบการณ์ตรงก็คือ บางคนกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่หันมาสนใจธรรมะ ด้วยความคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตทำประโยชน์สูงสุดเท่าที่เคยทำมาทั้งชีวิต นั่นก็คือการปฏิบัติธรรม การเจริญสติเพื่อให้จิตถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นว่า กายใจนี้เป็นตัวเรา มีแต่ความไม่เที่ยง รู้มาทั้งชีวิตแต่รู้แบบจำคนอื่น ฟังคนอื่นเขา ไม่ได้พยายามทำให้เต็มที่ แต่พอรู้ตัวว่าจะตาย อันนี้รู้ด้วยวิธีทางการแพทย์ ก็ตั้งจิตว่า ชีวิตที่เหลือจะปฏิบัติธรรมเต็มที่ ปรากฏว่าไม่ตายตามกำหนด ยืดอายุไปได้เรื่อยๆ และมีความผ่องใสมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นหลายคนที่เรียกว่าอายุของกายจะหมดลงแน่ๆ แต่ด้วยความที่มีกุศลสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้มาเป็นพลังต่ออายุเสียก่อน จึงไม่ตาย อยากให้เป็นตัวอย่าง
และที่เคยเห็นจากประสบการณ์ตรงก็คือ บางคนกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่หันมาสนใจธรรมะ ด้วยความคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตทำประโยชน์สูงสุดเท่าที่เคยทำมาทั้งชีวิต นั่นก็คือการปฏิบัติธรรม การเจริญสติเพื่อให้จิตถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นว่า กายใจนี้เป็นตัวเรา มีแต่ความไม่เที่ยง รู้มาทั้งชีวิตแต่รู้แบบจำคนอื่น ฟังคนอื่นเขา ไม่ได้พยายามทำให้เต็มที่ แต่พอรู้ตัวว่าจะตาย อันนี้รู้ด้วยวิธีทางการแพทย์ ก็ตั้งจิตว่า ชีวิตที่เหลือจะปฏิบัติธรรมเต็มที่ ปรากฏว่าไม่ตายตามกำหนด ยืดอายุไปได้เรื่อยๆ และมีความผ่องใสมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นหลายคนที่เรียกว่าอายุของกายจะหมดลงแน่ๆ แต่ด้วยความที่มีกุศลสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้มาเป็นพลังต่ออายุเสียก่อน จึงไม่ตาย อยากให้เป็นตัวอย่าง
ในสมัยพุทธกาลก็มีเป็นเรื่องเล่า
ไม่ใช่เรื่องเล่าในชั้นพระไตรปิฎก แต่น่ารับฟังไว้
คือพระอานนท์ท่านถูกทักว่ากำลังจะสิ้นอายุ ท่านถามเทวดาที่ทักท่านว่า
ท่านจะทำอย่างไร เทวดาบอกว่าให้ปล่อยชีวิตสัตว์เพื่อที่จะได้ยืดอายุ
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎก
แต่มีหลักฐานในแง่ของประสบการณ์ตรงของหลายๆคนที่เป็นคนร่วมยุคร่วมสมัย
ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทำท่าจะตาย หรือทรมานอึดอัดเหมือนกับระบบหายใจรวนเร
รู้สึกอึดอัด อยากตายให้พ้นๆ ก็มีคนแนะนำให้ทำทานด้วยการปล่อยสัตว์ ปล่อยวัว
ปล่อยควาย ปล่อยนก ปล่อยปลาเป็นเวลาหลายปีต่อกัน แล้วก็ปล่อยเป็นหมื่นๆตัว
ปล่อยอย่างมากมาย ปรากฏว่าช่วยได้จริงๆ
คิดง่ายๆ ความสุข
ความมีปีติที่ได้จากการปล่อยสัตว์
ที่ได้จากการช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะตายให้รอดต่อ ความสุขแบบนั้น ถ้าทำต่อเนื่อง
ถ้าอยากจะช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ
ด้วยความรู้สึกว่ามีความปลื้มปีติจริงๆที่ได้ต่อชีวิตเขา แค่ความสุขตรงนั้น
โรคภัยไข้เจ็บก็เกือบจะแพ้แล้ว และถ้าทำต่อเนื่อง ก็ยิ่งสบาย
กรณีของคุณ
วกกลับมาถามว่าเราควรจะทำใจอย่างไร? ก่อนทำใจ ลองแนะนำคุณแม่ตามที่ผมพูดมา
นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในพุทธศาสนา ใช้หลักเกณฑ์ของพุทธศาสนา
ก็คือสมมุติว่าวันตายจะมีจริง หมายความว่าจะต้องมีปาณาติบาตกรรม
บาปอันเกิดจากปาณาติบาตบางอย่างมาเบียดเบียนให้เกิดความตายก่อนวัยอันควร
ถ้าเราคิดถึงบาปเก่าโดยความเป็นพลังมืด
เราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้พลังความสว่างเข้าไปต่อต้านได้ ความสว่างที่สูงสุดในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งก็คือความสว่างในการเจริญสติ
หากจะต้องตาย
ก็ลองเจริญสติทำชีวิตช่วงสุดท้ายที่เหลือให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หรือถ้าคิดว่า หมอดูแม่น จะตาไม่เห็น หรือจะว่ามืดอะไรก็แล้วแต่
เราก็เร่งสร้างความสว่างทางใจไว้แทนความมืดทางตาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่าปล่อยเวลา ๕ ปีให้สูญเปล่าไปกลับความทุกข์
จมอยู่กับความหดหู่เศร้าซึมแบบเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร
ขอทิ้งท้าย
หมอดูประเภทที่ไปทำนายทายทักให้คนเขาใจเสีย แล้วไม่ให้ทางออก ไม่ให้คำอธิบาย
ไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจนว่า ไปทำอะไรมาถึงจะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น
แล้วก็ไม่สามารถแนะนำทางออกให้เขาสบายใจได้ว่า
เขามีวิธีต่อสู้กับบาปกรรมเก่าได้อย่างไร
จะได้ไม่ต้องเกิดเคราะห์กรรมอย่างที่เขารู้เขาเห็น ถ้าไปให้คำทำนายมั่วแบบนี้
และทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ทางใจบาปจะตกกับตัวคุณเอง คือที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหดหู่ซึมเศร้า
๕ ปี ทั้งๆที่อาจจะไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าคูณระยะเวลา ๕
ปีเข้าไปเป็นวิบากที่คุณจะต้องรับนี่ ผมว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว ฝากบอกหมอดูไว้
อะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้คนไม่สบายใจ จะทำให้คนรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าคุณจะพูด
คุณต้องพูดในแบบที่เป็นทางออกให้เขาด้วย ไม่ใช่ไปพูดเหมือนสาปแช่งทิ้งไว้
แล้วไม่ช่วยอะไรเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น