วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๖๘ หมอดูทักว่าดวงถึงฆาต ทำอย่างไรดี?

ถาม :  หมอดูทักคุณแม่ว่าอีก ๕ ปีคุณแม่อาจจะไม่อยู่แล้ว กังวลกันมาก ควรจัดการใจตัวเองและแนะนำคุณแม่อย่างไรดี? วิธียืดอายุที่พอจะทำได้ในทางพุทธ?

รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/jNyIyfj1iT8


ดังตฤณ:  เป็นปัญหาที่เกิดจากการไปดูหมอ ถ้าหากว่าหมอดูสามารถล่วงรู้อนาคตได้จริงๆ แล้วนำมาเปิดเผยมันก็มีข้อเสียอยู่อย่างนี้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย เป็นเรื่องที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างรุนแรง จะเป็นความตาย หรือว่าจะพิการ หรือว่าจะมีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่สูญเสียไปก็ตาม พอรู้แล้วมันก็เหมือนกับจิตใจหดหู่ห่อเหี่ยวไปล่วงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ล่วงหน้าไป ๕ ปี ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างใน ๕ ปีจะดีขึ้น แต่ว่าเราจะต้องมีทุกข์ล่วงหน้าไปถึง ๕ ปี อันนี้เป็นผลข้างเคียงของการรู้อนาคต รู้จริงหรือรู้ไม่จริงขอยกไว้ก่อน การนั่งทางในก็มีหลายทาง หลายตำรา หลายวิชา หลายความสามารถ หลากหลายมิติ และทางพุทธเราก็มีการพูดถึงเรื่องความสามารถในการทายทักอนาคตกันด้วย แต่โดยปกติ ถ้าหากเป็นพระผู้รู้แจ้ง ผู้รู้จริงที่สามารถเห็นกรรมเก่าของคนว่าจะผลิดอกออกผล จะเผล็ดผลเมื่อไหร่ ปีไหน เดือนไหน ถ้าท่านพิจารณาแล้วว่า พูดไปแล้วมีแต่จะเสีย พูดไปแล้วมีแต่จะทำให้เขาไม่สบายใจและช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้ ท่านก็จะไม่พูด เพราะเท่ากับทำให้คนๆหนึ่งเป็นทุกข์ไปล่วงหน้า แทนที่จะไปทุกข์เมื่อถึงเวลานั้น ก็ทุกข์ตั้งแต่วันนี้เลย นับไปอีก ๕ ปี ซึ่งไม่ใช่วิสัยของผู้ที่รู้แจ้ง ผู้รู้จริงที่ท่านจะทำกัน ที่ไปดูมา เรามองกันด้วยมุมมองอย่างนี้ก่อน

มุมมองต่อไปที่อยากจะบอกคือ ในทางพุทธแล้ว ความตายที่ชัดเจนที่แน่นอน คือสมมุติว่าเคยทำกรรมหนักจริงๆอย่างเช่น ไปเผาคนทั้งเมืองแล้วตั้งใจย่างสดให้ตกตายแบบชนิดที่ว่าขุดฆ่าล้างโคตร ซึ่งเป็นกรรมที่หนักมากๆ ใช้กำลังใจในการฆ่าที่หนักแน่นมากๆนี่ เวลาที่กรรมผลิดอกออกผล ก็อาจจะให้ผลเป็นการตายที่ชัดเจนแน่นอน และไม่มีการหลีกเลี่ยงได้ แต่ส่วนใหญ่ คราวถึงฆาต หรือจะต้องพิการ หรือจะต้องมีอันเป็นไป ถ้ากรรมของคนทั่วไปที่ไม่ได้ทำไว้หนักเกิน จะสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ หรือไม่ก็สามารถที่จะให้งดไปเลยก็ได้

ยกตัวอย่างกรณีของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสไว้เป็นนัยๆกับพระอานนท์ คือท่านรู้แล้วว่า พอท่านมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ท่านจะต้องเสด็จดับขันธปรินิพพาน แต่ท่านก็เปรยกับพระอานนท์ว่า หากมีการเจริญอิทธิบาท ๔ ซึ่งหมายถึงอิทธิบาท ๔ ในการเข้าไปรู้ เข้าไปดูขันธ์ เข้าไปบำรุงขันธ์ เข้าไปพยาบาลขันธ์ ก็มีสิทธิ์ที่จะอยู่ไปได้ตลอดกัป ความหมายของกัปในที่นี้คือถึง ๑๒๐ ปี หมายถึงว่าช่วงอายุคนในครั้งพุทธกาลอยู่ได้ถึง ๑๒๐ ปีสบายๆ ท่านตรัสเป็นนัยๆอยู่ ๓ ครั้ง แต่ด้วยความที่มีอะไรบางอย่างทำให้พระอานนท์ไม่ทันคิด ก็เลยไม่ได้ทูลอาราธนาไว้ สรุปคือพระพุทธเจ้าก็ปลงอายุสังขารว่าจะเสด็จดับขันธ์ตามกำหนดคือครบพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาก็ดับขันธปรินิพพาน แสดงให้เห็นว่า ถ้ารู้หลักการซึ่งจะเป็นหลักการอะไรก็แล้วแต่ มันยืดอายุได้

และที่เคยเห็นจากประสบการณ์ตรงก็คือ บางคนกำลังจะตายอยู่แล้ว แต่หันมาสนใจธรรมะ ด้วยความคิดว่าจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตทำประโยชน์สูงสุดเท่าที่เคยทำมาทั้งชีวิต นั่นก็คือการปฏิบัติธรรม การเจริญสติเพื่อให้จิตถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นว่า กายใจนี้เป็นตัวเรา มีแต่ความไม่เที่ยง รู้มาทั้งชีวิตแต่รู้แบบจำคนอื่น ฟังคนอื่นเขา ไม่ได้พยายามทำให้เต็มที่ แต่พอรู้ตัวว่าจะตาย อันนี้รู้ด้วยวิธีทางการแพทย์ ก็ตั้งจิตว่า ชีวิตที่เหลือจะปฏิบัติธรรมเต็มที่ ปรากฏว่าไม่ตายตามกำหนด ยืดอายุไปได้เรื่อยๆ และมีความผ่องใสมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นหลายคนที่เรียกว่าอายุของกายจะหมดลงแน่ๆ แต่ด้วยความที่มีกุศลสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะทำได้มาเป็นพลังต่ออายุเสียก่อน จึงไม่ตาย อยากให้เป็นตัวอย่าง

ในสมัยพุทธกาลก็มีเป็นเรื่องเล่า ไม่ใช่เรื่องเล่าในชั้นพระไตรปิฎก แต่น่ารับฟังไว้ คือพระอานนท์ท่านถูกทักว่ากำลังจะสิ้นอายุ ท่านถามเทวดาที่ทักท่านว่า ท่านจะทำอย่างไร เทวดาบอกว่าให้ปล่อยชีวิตสัตว์เพื่อที่จะได้ยืดอายุ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎก แต่มีหลักฐานในแง่ของประสบการณ์ตรงของหลายๆคนที่เป็นคนร่วมยุคร่วมสมัย ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ทำท่าจะตาย หรือทรมานอึดอัดเหมือนกับระบบหายใจรวนเร รู้สึกอึดอัด อยากตายให้พ้นๆ ก็มีคนแนะนำให้ทำทานด้วยการปล่อยสัตว์ ปล่อยวัว ปล่อยควาย ปล่อยนก ปล่อยปลาเป็นเวลาหลายปีต่อกัน แล้วก็ปล่อยเป็นหมื่นๆตัว ปล่อยอย่างมากมาย ปรากฏว่าช่วยได้จริงๆ

คิดง่ายๆ ความสุข ความมีปีติที่ได้จากการปล่อยสัตว์ ที่ได้จากการช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะตายให้รอดต่อ ความสุขแบบนั้น ถ้าทำต่อเนื่อง ถ้าอยากจะช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ ด้วยความรู้สึกว่ามีความปลื้มปีติจริงๆที่ได้ต่อชีวิตเขา แค่ความสุขตรงนั้น โรคภัยไข้เจ็บก็เกือบจะแพ้แล้ว และถ้าทำต่อเนื่อง ก็ยิ่งสบาย

กรณีของคุณ วกกลับมาถามว่าเราควรจะทำใจอย่างไร? ก่อนทำใจ ลองแนะนำคุณแม่ตามที่ผมพูดมา นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในพุทธศาสนา ใช้หลักเกณฑ์ของพุทธศาสนา ก็คือสมมุติว่าวันตายจะมีจริง หมายความว่าจะต้องมีปาณาติบาตกรรม บาปอันเกิดจากปาณาติบาตบางอย่างมาเบียดเบียนให้เกิดความตายก่อนวัยอันควร ถ้าเราคิดถึงบาปเก่าโดยความเป็นพลังมืด เราก็มีสิทธิ์ที่จะใช้พลังความสว่างเข้าไปต่อต้านได้ ความสว่างที่สูงสุดในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งก็คือความสว่างในการเจริญสติ หากจะต้องตาย ก็ลองเจริญสติทำชีวิตช่วงสุดท้ายที่เหลือให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรือถ้าคิดว่า หมอดูแม่น จะตาไม่เห็น หรือจะว่ามืดอะไรก็แล้วแต่ เราก็เร่งสร้างความสว่างทางใจไว้แทนความมืดทางตาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่าปล่อยเวลา ๕ ปีให้สูญเปล่าไปกลับความทุกข์ จมอยู่กับความหดหู่เศร้าซึมแบบเสียเปล่า ไม่มีประโยชน์อะไร

ขอทิ้งท้าย หมอดูประเภทที่ไปทำนายทายทักให้คนเขาใจเสีย แล้วไม่ให้ทางออก ไม่ให้คำอธิบาย ไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจนว่า ไปทำอะไรมาถึงจะต้องประสบเคราะห์กรรมแบบนั้น แล้วก็ไม่สามารถแนะนำทางออกให้เขาสบายใจได้ว่า เขามีวิธีต่อสู้กับบาปกรรมเก่าได้อย่างไร จะได้ไม่ต้องเกิดเคราะห์กรรมอย่างที่เขารู้เขาเห็น ถ้าไปให้คำทำนายมั่วแบบนี้ และทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ทางใจบาปจะตกกับตัวคุณเอง คือที่เขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความหดหู่ซึมเศร้า ๕ ปี ทั้งๆที่อาจจะไม่เกิดอะไรขึ้น ถ้าคูณระยะเวลา ๕ ปีเข้าไปเป็นวิบากที่คุณจะต้องรับนี่ ผมว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว ฝากบอกหมอดูไว้ อะไรก็แล้วแต่ที่จะทำให้คนไม่สบายใจ จะทำให้คนรู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าคุณจะพูด คุณต้องพูดในแบบที่เป็นทางออกให้เขาด้วย ไม่ใช่ไปพูดเหมือนสาปแช่งทิ้งไว้ แล้วไม่ช่วยอะไรเลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น