วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๔๗ ปฏิบัติธรรม คนรอบข้างหมั่นไส้

ถาม :  หนูฟังการเจริญสติที่พี่สอน หรือตอบคำถามกับเพื่อนๆ มาตลอด ก็ทำตาม รู้สึกว่าอารมณ์ที่พอมีตัวกระตุ้นโทสะมากระทบจากคนในครอบครัวดีขึ้น จากที่เคยอย่างหนึ่งวันก็ลดลงมาตามลำดับจนเหลือแค่สิบห้านาที รู้สึกว่าดีมากค่ะ มันโล่งอย่างบอกไม่ถูก แต่เหมือนพอมันรู้สึกว่าเออจิตเราตามทันมัน มันก็ดันส่งบททดสอบในเรื่องเดิมแต่พัฒนาการให้จิตโดนกระทบแรงกว่าเดิมหลายเท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอคำแนะนำด้วยว่าควรจะทำอย่างไรดี สำหรับหนูแล้วโทสะนี่แหละ ที่มันส่งมาทดสอบทุกวันจากการกระทำและคำพูดของคนในครอบครัว?

รับฟังทางยูทูป
https://youtu.be/NGjKuwRp2Q4

ดังตฤณ:  โลกนี้เต็มไปด้วยบททดสอบ
แล้วก็มีมาทุกวันไม่ใช่เฉพาะทดสอบเรื่องของโทสะ
มันทดสอบเรื่องโลภะ เรื่องโทสะ เรื่องโมหะ ครบเลยนะ

แต่เรื่องของโทสะนี่มีมาได้ทุกวัน
บ่อยกว่ากิเลสข้ออื่นๆจริงๆ เพราะอะไร?
เพราะว่า
คนเราถูกออกแบบมาโดยธรรมชาติ
ให้มีความทนทานน้อย

ผิวนี่บางมากอากาศกระทบแค่นิดแค่หน่อยนะ
ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่พอดีนี่
มันสามารถจะร้อนมากไป หรือว่าหนาวมากไป
ทำให้เกิดความรู้สึกแย่
ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนจะเป็นจะตาย
แค่ความรู้สึกเหมือนกับแย่ๆจากอากาศเพียงเท่านั้น
ว่ามากน้อยเกินไป หนาวไปร้อนไป
นี่มันทำให้เกิดความขัดเคือง เกิดความหงุดหงิดได้แล้ว
นี่ยังไม่ต้องไปเจอบุคคลเลยนะ
เจอแค่สภาพอากาศที่ห่อหุ้มร่างกายของเราอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
ขอเพียงมันเปลี่ยนแปลงมากไปหรือน้อยไป
ก็ทำให้เกิดความขัดเคืองขึ้นได้แล้ว
นี่ธรรมชาติออกแบบมาให้เรามีความทนทานได้น้อยนะ


.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เรื่องของคนในครอบครัว เรื่องของคนใกล้ตัว
มันไม่มีไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม
ต่อให้แยกตัวไปเป็นฤๅษีอยู่ในป่า
ก็ต้องมีสัตว์เป็นครอบครัวอยู่ดี มีพืชพรรณธัญญารอบ
รอบตัวนี่นะในป่าดงพงพีนี่
เป็นเพื่อนแทนมนุษย์ด้วยกันอยู่ดี

และสิ่งที่อยู่แวดล้อมเรา
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
มันสามารถที่จะบีบคั้นให้เราไม่อยากทนทาน

ความไม่อยากทนทานนี่
มันเป็นตัวที่ก่อให้เกิดความขัดเคือง ความกระทบกระทั่งทางใจ

ความขัดเคือง หรือว่าความกระทบกระทั่งทางใจนี้นี่
ทางพุทธศาสนาเราชี้ว่า
ถ้าไม่เจริญสติจนกระทั่งบรรลุมรรคผลถึงขั้นอนาคามี
ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้
ยังไงๆ นะ จิตก็ต้องเกิดความกระทบกระทั่ง
มีความขัดเคืองเป็นธรรมดา


หมายความว่าต่อให้เจริญสติจนกระทั่งบรรลุธรรม
เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี
ก็ยังต้องมีความขัดเคือง มีความกระทบกระทั่งทางใจ
ใจเหมือนถูกกระทบกระแทกอยู่ดี

คือคิดง่ายๆว่าเป็น คลื่นกระแทกนะ
ที่มันส่งเข้ามากระทบแล้ว
ใจนี่เกิดความสั่นไหวได้
เกิดความขัดเคืองได้
เกิดความโมโหโกรธาได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมานี่
ท่านไม่ได้มาเพื่อ กำจัดสิ่งกระทบกระทั่งจิตใจ
แต่ท่านให้ฝึกที่จะ ตอบโต้กับสิ่งกระทบกระทั่ง
ในทางที่จะเป็นคุณ ในทางที่จะเป็นประโยชน์
ในทางที่จะพัฒนาจิตวิญญาณของเรา
: ให้ได้หลุดพ้นจากความไม่รู้
: หลุดพ้นจากความกระทบกระทั่ง
: หลุดพ้นจากความเบียดเบียนทั้งปวง

เพื่อที่จะใช้โทสะเป็นอุปกรณ์
เป็นเครื่องฝึกให้เกิดความหลุดพ้นได้
ต้องเห็นตัวโทสะโดยความเป็นของไม่เที่ยง

ซึ่งน้องก็คงจะได้ฝึกมาแล้วอย่างที่เล่าให้ฟัง
ว่าจากที่มันเคยหมกมุ่นอยู่กับความโมโหโกรธานะ
คั่งแค้นอยู่ทั้งวันเหลือแค่ประมาณสิบห้านาที
แล้วรู้สึกว่าชีวิตมันเปลี่ยนแปลงไป
จากที่มันรกไปด้วยความร้อนมันกลายเป็นความโล่ง ความเบา
ชีวิตมันบรรจุอยู่ เต็มอยู่ด้วยความเย็น
นี่คือสิ่งที่เห็นได้จากการเจริญสติ

ไม่ว่าใครไม่ว่าเพศไหน ชาติใดภาษาใดก็ตาม
เจริญสติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว
มันได้รับประสบการณ์ตรงกันแบบนี้เสมอ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เพียงแต่ว่าคนเรานี่นะ
อยู่ๆไปคิดทำเองนี่มันไม่มีกำลังใจ
ที่จะอาศัยกำลังใจในการไปพัฒนาตัวเอง
ด้วยการเจริญสติแบบนี้ได้นี่
ก็ต้องมีกัลยาณมิตร มีสิ่งแวดล้อม
คือพูดง่ายๆ ว่ามีสังคมของกัลยาณมิตร
อย่างพวกเรามาคุยกันเยอะๆ มาโต้ตอบกัน
มันมีความรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำอยู่คนเดียว
คนอื่นเขาก็ทำกัน เลยไม่รู้สึกว่าเป็นตัวประหลาด
ไม่รู้สึกว่าแปลกประหลาดที่จะเจริญสติ

พอไม่รู้สึกแปลกประหลาดเมื่อจะเจริญสติ
มีศรัทธา มีความพยายาม
มีความเพียรที่จะทำให้จริงจังขึ้นมา มันก็เกิดผล
พอเกิดผลนี่ สิ่งที่มันจะเป็นตัวต่อยอด
ก็คือเกิดกำลังใจในขั้นต่อๆ ไปอีก

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ทีนี้น้องบอกว่า
ทุกครั้งพอมันเกิดกำลังใจขึ้นมา
มันเกิดความเบา มันเกิดปีติขึ้นมา
ชอบมี บททดสอบที่หนักกว่าเดิมเข้ามา
ขอให้รู้ว่าถ้าใครเกิดประสบการณ์แบบนี้
บางทีมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ

บางทีมันเป็นแรงดึงดูดของสังสารวัฏ
ที่เขาส่งเข้ามาตามธรรมชาติ !

คิดกันได้ด้วยวิธีมองเห็นภาพเลยก็ได้
สมมุติว่าเราอยู่ในครอบครัวที่มีความกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา
แล้วต่างฝ่ายต่างก็เห็นว่ากันและกันนี่เป็นเครื่องกระทบ
แต่ละฝ่ายมีกันและกันเป็นเครื่องกระทบ
แล้วก็เป็นตัวรุนไฟเป็นตัวโหมไฟให้มันร้อนขึ้น
ต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกว่าเคยชินอยู่กับสภาพความร้อน
ที่เกิดจากการกระทบกระทั่งเสียดสีกัน
กระทบกระแทกกันมันเกิดความเคยชินกันแบบนั้น

มันมีความรู้สึกว่า
ถ้าวันไหนอีกฝ่ายมีความสุขมากกว่าเดิม
มีความเยือกเย็นมากกว่าเดิม
มันอาจเกิดความหมั่นไส้ขึ้นมา
มันอาจเกิดความรู้สึกว่า
เอ๊ะ ไอ้ตรงนี้มันมีความสุขกว่าเรา
คนนี้มันไม่มีความทุกข์แบบเดิม
คือมันไม่ได้คิดออกมาเป็นภาษา
ไม่ได้คิดออกมาเป็นคำๆแบบนี้
แต่คิดออกมาด้วยความรู้สึกจากส่วนลึก!
ว่ามันเคยร่วมทุกข์กันมา
มันเคยสร้างความร้อนให้กันและกันมา
มันเคยเป็นเหตุแห่งโทสะให้กันและกันมา
อยู่ๆมีอยู่คนหนึ่งในบ้านมันจะหลุดพ้นออกไป
มันจะเข้าสู่วงจรความเย็น
บางทีมันเข้าไปกระตุ้นให้คนอื่นนี่เขาเกิดความรู้สึก
ว่าอยากจะลากกลับมาร่วมวงโคจรเดิมนะ อยู่ในวงโคจรเดิมด้วยกัน


.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

มนุษย์นี่นะ คืออย่าไปเอาเรื่องเหตุผล
มนุษย์นี่จริงๆแล้วไม่มีเหตุผลหรอก

อารมณ์น่ะนำหน้า เอาความรู้สึกกันเป็นหลัก
ถ้าทั้งบ้านร้อนอยู่ แล้วเราเย็นอยู่คนเดียว
บางทีเขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คือไม่ได้ตั้งใจจะโมโหนะ

ถ้าเอาตามการเลือก ก ข ค แบบเด็กประถมนี่
ถามว่าควรจะส่งเสริมให้คนในครอบครัวมีความสุขหรือเปล่า
ผมเชื่อว่าคนทั้งโลกต้องตอบว่าควรจะส่งเสริมให้มีความสุข
แต่ในทางปฏิบัติแล้วนี่
คนในครอบครัวคนที่ใกล้ชิดกันนี่นะ
ถ้าฝ่ายหนึ่งมีความทุกข์แล้ว
อยากจะลากอีกฝ่ายหนึ่งมามีความทุกข์ตามด้วย
มันไม่ค่อยอยากจะปล่อยให้ไปมีความสุขหรอก
มันมีความรู้สึกเหมือนโดนทอดทิ้ง

เพราะฉะนั้นอันนี้เราก็มองเป็นเรื่องของธรรมชาติก็แล้วกัน
ถ้าไม่มองเป็นเรื่องลึกลับหรือว่าเรื่องแบบทดสอบนะ
ที่จะทำให้เราไต่ขึ้นสูงอะไรต่างๆนี่

ถ้าหากว่าเรากำลังทวนกระแสกิเลสขึ้นสูง
จำไว้เลยว่ามีแรงดึงดูด
ให้กลับเข้าทางของความทุกข์ความร้อนตามเดิม
ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

แต่ถ้าหากว่าเราผ่านแบบทดสอบ
เราสามารถเอาชนะแรงดึงดูดให้กลับเข้าวงโคจรเดิมได้หลายๆครั้งเข้า
มันเท่ากับการที่เรามีความสามารถจะทวนกระแสขึ้นสูง
เขยิบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง มีกำลังมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ในแต่ละครั้งที่สามารถเอาชนะได้ !

ก็ให้มองเป็นภาพใหญ่ภาพรวมไว้อย่างนี้ก่อน
มันจะได้เกิดกำลังใจ
มันจะได้ไม่เกิดความรู้สึกว่าถ้าพยายามไปแล้วมันจะสูญเปล่า

แต่ละครั้งที่พยายาม
แล้วประสบความสำเร็จในการเอาชนะกิเลสได้
จิตวิญญาณของเราจะสูงส่งขึ้นเสมอ
กำลังของใจเราจะดีขึ้นเสมอ
และยิ่งสะสมมากนานเดือนนานปีเข้า
ในที่สุดมันจะเกิดเป็นความปกติ
กลายเป็นปกติของใจที่จะสามารถชนะกิเลสได้


และผู้ที่สามารถชนะกิเลสได้จริงๆ
มีใจจริงๆ ของเรานี่เป็นหลักฐาน
เป็นพยานของความเย็น
เย็นแบบพุทธ
มีสติแบบพุทธ
มีความสว่างแบบพุทธ
ตัวตนใหม่ของเราจะเป็นแรงบันดาลใจ
ให้คนรอบข้างเกิดความรู้สึกอยากเย็นตาม อยากสว่างตาม

มันจะหายหมั่นไส้ไปเอง
มันจะเลิกเพียรพยายามที่จะลากกลับเข้ามาสู่วงจรเดิมนะ
มันจะเลิกมีความรู้สึกว่าข้าทุกข์เอ็งต้องทุกข์ด้วย
มันจะกลายเป็นความรู้สึกว่า
เออ เธอเย็นแล้วฉันอยากเย็นตาม ขอให้เธอเป็นที่พึ่งของฉันบ้างเถิด

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

คนมันอย่างนี้นะคือไม่ได้เปลี่ยนแปลงกันในฉับพลันทันที
ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงกันชั่วข้ามคืนทั้งเราทั้งเขา

ถ้าเราเปลี่ยนก่อน
ถือว่าเราเอาบุญมาโปรดคนในบ้านก่อน

เราเอาความสว่างเอาความเยือกเย็น
เอาทิศทางใหม่ที่ตรงกับทางสวรรค์และนิพพาน
มาสู่บ้านที่เคยมืดมน หรือว่าขมุกขมัว
อยู่ด้วยหมอกพิษ ไอพิษของโทสะ
อันนี้เรื่องของกำลังใจ

เรื่องของกำลังใจนี่นะบางทีมันเกิดจากมุมมอง
มันเกิดจากการเห็น มันเกิดจากความเข้าใจ
เข้าใจอะไรแบบนี้แหละ
เข้าใจให้ชัดๆแล้วเกิดกำลังใจขึ้นมาจริงๆ
มันจะแปรตัวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
มันจะมีมานะที่จะต่อสู้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

น้องบอกว่าน้องรู้หมดแล้ว
วิธีที่จะเจริญสติในขณะที่เกิดโทสะ
แต่ตอนนี้มันเจอเรื่องลำบาก มันผ่านยาก
แบบทดสอบที่มานี่แต่ละครั้งนี่โหดขึ้นทุกที
และมันชอบมาตอนดีๆอยู่ด้วย
ไม่ใช่มาตอนกำลังเสียๆนะ
กำลังดีๆอยู่โดนแกล้งให้เสีย 

ก็เลยพูดให้เห็นภาพ
ว่าเรากำลังเผชิญกับอะไร อยู่บนเส้นทางแบบไหน
และพอเรามองออก
ว่าเรากำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางแบบไหน
เกิดกำลังใจขึ้นมาแล้วมันก็จะเดินต่อ

ตอนที่เดินต่อนั่นแหละไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดนะ
การที่เดินต่อ จำเป็นคีย์เวิร์ดไว้นะ
ความต่อเนื่องนั่นแหละความก้าวหน้า


จริงๆนะคือคิดเป็นทางกายภาพก็ได้ เราเดินไปนี่
ถ้าเดินอย่างต่อเนื่องนี่ มันก้าวหน้าไปเรื่อยๆถูกไหม
อันนี้ก็เหมือนกัน แต่เรามองไม่เห็น
มันไม่มีเครื่องวัดที่ชัดเจน
มันไม่มีระยะทางบอกเป็นหลักไมล์
แต่มีความรู้สึกบอกเป็นความโล่ง
เป็นความชัดเจน
ว่าอันนี้แหละของจริง อยู่จริง นานจริง

ไม่ใช่อยู่ประเดี๋ยวประด๋าว
ไม่ใช่จะต้องไปเชื่อไปเลื่อมใสอะไรในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือว่าอะไรที่มองไม่เห็น
แต่ว่าเอาที่รู้สึกได้อยู่ในใจนี่แหละ

เราปฏิบัติมาแบบนี้ตามทิศทางแบบนี้
แล้วมันเกิดผลขึ้นมา รู้สึกได้เห็นได้ด้วยใจ

นี่แหละ ตัวนี้แหละนะ
จะทำให้เราเกิดความเพียรพยายามที่ต่อเนื่อง
ความพยายามที่ต่อเนื่อง
ความต่อเนื่องนั่นแหละคือความก้าวหน้า

คงไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่ากำลังใจหรอกที่จะให้กัน
เอาละครับคำถามนี้โจทย์ข้อนี้มันเป็นของหลายๆคน
เพราะฉะนั้นก็เลยตอบยาวหน่อย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น