วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๔๖ โดนดุด่าแต่เด็ก มีปมด้อย ไม่มั่นใจ

ถาม :  หนูโตมาด้วยความเชื่อว่าไม่มีใครรัก ตอนเด็กมักถูกพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่รุมดุด่าบ่อยๆ แถมผู้ใหญ่มักคอยกำกับตลอดว่าต้องทำอะไรยังไง โตขึ้นมาเลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างแรง เวลาจะทำอะไรต้องหาคนบอกทุกขั้นตอน ว่าต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นกลัวทำพลาด ตอนเด็กตั้งใจเรียน จนได้ที่ ๑ บ่อยๆ เพื่อให้ได้รับความสนใจจากพ่อแม่ จะได้รู้สึกมีค่า แต่ถ้าเมื่อไรไม่ได้เป็นที่ ๑ หรือไม่ได้ความสนใจเพียงพอ จะเสียความมั่นใจในตัวเองมาก เวลาปรึกษาใครก็ได้รับข้อสรุปว่าอย่าคิดมาก คล้ายถูกตำหนิแล้วรำคาญที่เราเป็นคนแบบนี้ เลยยิ่งแย่เข้าไปอีก มีทางแก้ไขไหมคะ?

รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/V8M4qoczlL8


ดังตฤณ: 
ถ้าเข้าใจปมในวัยเด็กของตัวเองมันง่าย คนเราถ้าไม่ลืมว่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องแย่ๆหรือว่าสิ่งที่มันเป็นอุปสรรคติดขัดทั้งหลายในชีวิตมาจากไหนไหลมาจากไหน ดีมากเลย เพราะว่ามันง่าย มันแก้ถูกจุด เรียกว่าเราไปเล่นกันตรงประเด็น คนที่ลืมว่าต้นสายปลายเหตุของปัญหามาจากไหน บางที มันงง บางทีมันเบลอ ไม่รู้จะจับต้นชนปลายให้ติดอย่างไร ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

อันนี้เราก็เริ่มต้นกันง่ายๆเลย ขึ้นต้นมาเรารู้ว่าชีวิตของเราถูกทำให้เสียความเชื่อมั่นไป ด้วยการโดนชี้นั่น ชี้นี่ จะต้องทำอย่างนั้น จะต้องทำอย่างนี้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ทีนี้เราโตขึ้นมาแล้ว เราก็มีความสามารถที่จะตั้งโจทย์ให้กับชีวิต นี่เป็นโจทย์ข้อสำคัญของน้องนะ เป็นโจทย์ที่สำคัญมากของชีวิตของเราทีเดียว ว่าทำอย่างไรจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ ลักษณะของจิตที่ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง มันจะมีอาการที่ว่า ถ้าจำเป็นจะต้องตัดสินใจหรือจำเป็นที่จะต้องยืนด้วยขาของตัวเองเต็มๆสองขา มันจะสั่น มันจะมีอาการสั่นไหว มันจะมีอาการเหมือนกับเซนซิทีฟ กับการกระทบกระแทก ถ้าหากว่ามีอะไรมาซัดนิดหนึ่ง มันเป๋เลย ลักษณะของจิตก็เหมือนกับคนที่มีขายืนด้วยตัวเองไม่ได้เต็มสองขา ไม่ได้มั่นคง เรามองอย่างนี้ก่อน

ถ้าหากว่าเรามองอาการของใจของตัวเองออก คือรู้ต้นสายปลายเหตุด้วย แล้วก็รู้ผลลัพธ์ที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ด้วยว่า หน้าตาของจิตใจ หน้าตาของผลลัพธ์ที่ไหลมาจากวัยเด็ก ซึ่งถูกบังคับกะเกณฑ์ ชี้นั่น ชี้นี่ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่สามารถยืนได้เต็มกำลังของตัวเอง พอเห็นว่าสภาพจิต สภาพใจของเราเป็นอย่างนี้นะ เห็นให้ได้บ่อยๆ เวลาที่มีอะไรเข้ามากระทบให้เกิดความรู้สึกหวั่นไหว ให้เห็นไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้จักสภาพจิตใจของตัวเองว่า หน้าตาเป็นอย่างนี้ ยอมรับสภาพจิตใจแบบนั้นให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก พอยอมรับได้สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นทันที อันนี้ผมยังไม่ได้พูดถึงวิธีแก้ปัญหานะ พูดถึงเรื่องของการรับมือกับจิตใจที่หวั่นไหวง่ายก่อน วิธีการรับมือง่ายที่สุดคือ ให้ยอมรับตามจริงว่าเรากำลังมีอาการเป๋ เรามีอาการที่ยืนไม่ได้เต็มสองขา ลักษณะจิตแบบนี้พอถูกรู้บ่อยๆเกิดอะไรขึ้น? มันจะมีอาการเห็นว่า สภาพจิตที่มันเป๋มันหวั่นไหวง่าย มันก็เป็นสภาพจิตแบบหนึ่ง

แต่เดิมเราจะไม่รู้สึกว่ามันเป็นสภาพจิต เราจะรู้สึกว่ามันเป็นตัวเรา เราจะรู้สึกว่าอาการแบบนี้พอเกิดขึ้นทีไรรู้สึกแย่กับตัวเองซ้ำเข้าไปอีก เข้าใจไหม? อาการหวั่นไหวไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่นะ ต่อเมื่ออาการหวั่นไหว สภาพจิตใจที่หวั่นไหวเป็นที่รู้สึกของตัวว่านี่มันคืออาการของเรา ตัวนี้แหละมันถึงเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมา เมื่อเกิดสติรู้ว่าอาการหวั่นไหว อาการไม่เชื่อมั่นในตัวเองเกิดขึ้นก่อน แล้วตัวตนคือมันไปจับยึด มันมีอาการไปยึดมั่นถือมั่นว่าอาการหวั่นไหวนั้นเป็นตัวเรา ความรู้สึกแย่มันค่อยตามมา มันเกิดขึ้นพร้อมๆกัน ดูเหมือนกับพร้อมๆกัน แต่จริงๆแล้วถ้าหากว่าน้องลองสังเกตตามที่พี่ว่าอย่างนี้ มันจะเริ่มเห็นนะ มันจะเริ่มเข้าใจกลไกของการปรุงแต่งทางจิต เมื่อเห็นบ่อยเข้า บ่อยครั้ง คือครั้งแรกๆ พอเห็นมันจะไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก มันก็ยังรู้สึกแย่เหมือนเดิมแหละ

แต่เมื่อเห็นบ่อยครั้งเข้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีโดยยังไม่ต้องไปแก้ต้นเหตุของปัญหา สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีเลยก็คือเราจะรู้สึกว่าอาการหวั่นไหวของใจมันไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเราก็ได้ ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งชีวิต เหมือนกับหวั่นไหวปุ๊บมันรู้สึกทันที มันจับยึดทันทีว่านี่เป็นเรา และไม่สามารถถอนความรู้สึกแบบนั้นได้ ตราบจนกระทั่งวันหนึ่ง อย่างวันนี้ที่เรามาคุยกันว่า จะเจริญสติอย่างไรเพื่อรับมือความขลาดกลัว ความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ความรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกแย่กับตัวเอง พอมีวันนี้ที่พี่พูดให้เราตั้งสติดูอาการหวั่นไหวของใจ แล้วเราลองไปฝึกดูหลายๆครั้ง นับดูไปสองสามครั้ง มันเห็นผลทันทีนะ เราจะรู้สึกว่าพอเกิดอาการหวั่นไหวทางใจ มันมีแค่อาการหวั่นไหว มันไม่มีอาการจับยึดว่านี่เป็นตัวเรา มันจะเห็นเป็นภาวะเพียวๆเลย ภาวะของใจล้วนๆเลยว่ามันมีแต่อาการกระเพื่อม เหมือนกับน้ำกระเพื่อม หรือมีอาการเหมือนกับหมอกควันถูกลมเป่า ซัดไปเซมา เห็นแค่นั้นไม่เกิดการปรุงแต่งต่อเป็นความรู้สึกว่าตัวเราเป็นผู้หวั่นไหว ตัวเราเป็นผู้ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองเอาเสียเลย ตัวเรามันช่างไม่เอาไหนเอาเสียเลย ความรู้สึกแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น มันมีแต่อาการไหวเป็นระลอกๆ มีอาการกระเพื่อมไม่สามารถที่จะตั้งตรงได้ เหมือนกับเราเห็นขาของตัวเอง

เดิมทีถ้าสมมติเราว่าเป็นคนขาเป๋ เราเป็นคนขาลีบ ไม่แข็งแรง พอเกิดอาการโยกเยก ไม่สามารถยืนได้เต็มสองขา เราจะรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฉันมีชีวิตที่แย่กว่าคนอื่น ฉันมีขาที่ไม่สมประกอบ แต่พอมาเริ่มฝึกรู้ฝึกดู ตามหลักของสติปัฏฐาน ๔ เห็นสักแต่เป็นอิริยาบถยืน ยืนแล้วมันยืนเป๋ ส่วนที่เป๋ ก็คือขา สักแต่มีท่อนกระดูกอยู่ข้างใน แล้วก็ฉาบด้วยเลือดเนื้อ มันไม่แข็งแรง มีเส้นเอ็นที่อ่อนแอมีกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมได้ตามต้องการ ตอนแรกมันจะรู้สึกแย่ทันที แต่พอดูๆไปว่า สักแต่เป็นขาจริงๆ เห็นนะไม่ใช่เฉพาะขาเห็นทั่วตลอดเลย ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีอะไรที่มันเป็นตัวตน มีแต่ธาตุสี่ ดินน้ำไฟลมประกอบกัน ก็คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ดินน้ำไฟลม ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าที่เป๋ เป็นเรื่องของดินน้ำไฟลมมันเป๋ มันไม่ใช่ตัวเราเป๋ ในทำนองเดียวกัน อันนี้เปรียบเทียบให้ฟัง

หลังจากนั้น อันนี้พูดเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามาพูดเรื่องว่า ทำอย่างไรจะเรียกความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมาได้จริงๆ มาสร้างเหตุใหม่กันอย่างไรที่จะทำให้รู้สึกว่าตัวเราไม่ต้องถูกบงการด้วยอดีตอันลึกลับ ไม่ใช่เหมือนกับเราจะไปไหนมาไหนเราจะทำอะไร มันมีสิ่งกดดันอยู่ตลอด ทำยังไงให้ความกดดันมันหายไป ก็ต้องเข้าใจว่าการที่เราถูกรุมดุรุมด่าบ่อยๆ ตามหลักของกฎแห่งกรรมวิบากก็คือว่า เราเคยไปดุด่าให้คนอื่นเขาเสียความเชื่อมั่นในตัวเองมาก่อน คงจะทำมาอย่างหนักทีเดียวล่ะ ถึงได้เกิดมาแล้วจะต้องมาประสบ เรียกว่าเป็นเคราะห์ก็แล้วกันนะถือว่าเป็นเคราะห์ เคราะห์ของชีวิตที่จะต้องถูกรุมดุด่าให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ สูญเสียความมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งๆที่น้องก็เป็นคนเก่ง สามารถที่จะสอบที่ ๑ ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว มันก็บอกโดยตัวเองว่าเราต้องมีดีพอสมควร แต่เนื่องจากถูกกดดันมาตั้งแต่อยู่ในบ้าน แล้วก็ทำให้ความเชื่อมั่นที่น่าจะมีมันสูญเสียไปเลย ความเก่งที่มีจะมีแค่ไหน ถ้าหากว่าถูกรุมด่าถูกรุมตำหนิ หรือว่าถูกสังคมรอบข้างตั้งความหวังไว้มากเกินไป มันทำให้เป๋ มันทำให้เกิดความรู้สึกว่าถ้าฉันทำอะไรพลาดไปนิดเดียว เดี๋ยวจะต้องโดนรุมประณาม

เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดกับน้องแค่คนเดียว มันเกิดกับคนหลายคนในโลกที่ทำกรรมมาแบบเดียวกัน คือไปคาดคั้นคนอื่นไว้มากเกินไป แล้วเราลืมไปแล้วว่าเคยไปคาดคั้นไว้ยังไง รู้แต่ว่ามารับผลแบบนี้ตั้งแต่เกิดเลย
เอาล่ะ เรื่องกรรมเก่าถ้าระลึกไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ขอให้จำกรรมใหม่ได้ก็แล้วกัน คือเราตั้งใจไว้เลยนะว่าชีวิตที่เรามีอยู่ชีวิตนี้ จะมีเพื่อที่จะให้กำลังใจ เป็นกำลังใจให้กับคนอื่น ไม่ว่าใครเป๋มาเราจะช่วยปรี่เข้าไปประคองให้ตัวเขาตั้งตรง ให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีกับตัวเอง ให้เขาเกิดความรู้สึกว่าสามารถเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยความมั่นใจ ถ้าเราตั้งเข็มทิศไว้อย่างนี้ เดี๋ยวจะมีบทพิสูจน์ใจมาว่าเราเอาจริงหรือเปล่า จริงๆนะ คนเรานี่ตั้งใจจะทำอะไรจริงๆจะมีบทพิสูจน์เข้ามา ความตั้งใจจริงๆนั้นจะกำหนดเส้นทางกรรมใหม่ แล้วธรรมชาติจะส่งอะไรที่เหมาะสมมาให้เราเอง มาเป็นแบบฝึกหัดมาเป็นแบบทดสอบ ถ้าหากว่ายังไม่ส่งแบบฝึกหัดมาให้เร็วทันใจ เราออกไปหาเองเลย

รู้ไหมว่าเด็กที่เสียความมั่นใจในตัวเองมากที่สุดคือพวกไหน? คือเด็กอนาถา เด็กกำพร้า เด็กที่พ่อแม่เสียชีวิต หรือไม่ก็เด็กที่พ่อแม่ไม่เอา ความรู้สึกว่าชีวิตของเราไม่มีค่าไม่มีใครเอานี่นะ มันเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่แย่ที่สุด ต่อให้จะฉลาดแค่ไหนจะมีความสามารถปานใด แต่ถ้าหากว่ามันรู้สึกมาตั้งแต่แรกเกิด ว่าไม่มีใครเขาเอา ชีวิตเราไม่มีค่านี่นะจบเลย ความรู้สึกว่ามีปมด้อยหรือว่าความเศร้า หรือว่าความรู้สึกหดหู่เศร้าหมอง มันจะเกาะกินจิตใจไปตลอดชีวิต เราลองตั้งใจตั้งเข็มไปที่คนพวกนี้ เด็กพวกนี้ ลองตั้งใจจะไปให้ความเชื่อมั่นกับเขา ลองไปสมัครเป็นครูอาสาฯดู ไปสอนตามที่เขาต้องการนั่นแหละ อาจจะสอนอังกฤษ สอนเลข สอนภาษาไทย หรือว่าสอนอะไรก็แล้วแต่ตามที่เขาอยากจะให้เราสอน แต่เราไปด้วยความตั้งใจที่มากกว่านั้น เราตั้งใจว่าจะไปให้ความอบอุ่น จะไปให้ความร่าเริง จะไปให้ชีวิตจิตใจกับเด็กที่เขาขาดชีวิตจิตใจ ขาดความชุ่มชื่นมาตั้งแต่แรกเกิด

ถ้าน้องทำแบบนี้นะ ผลที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ เราจะเรียกความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้ ไม่ต้องกินเวลามากเลยครับ รับรองว่าภายในเดือนสองเดือนนะจะรู้สึกขึ้นมาทันที ไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ส่วนใหญ่เขาจะขอให้ไปอาทิตย์ละครั้ง หรือถ้าใครไปได้บ่อยกว่านั้น ก็โอเคไม่มีปัญหา ก็ยิ่งดีเลย ภายในเดือนสองเดือน น้องจะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าแล้วก็สามารถที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตัวเอง สามารถจะมีจุดยืนเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะการออกไปช่วยคนโดยที่เขาไม่ได้ขอ มันเป็นการริเริ่มสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นการทำอะไรได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาชักชวน หรือมีใครมาบีบคั้น

การที่เราทำบุญใหญ่ได้ โดยไม่มีใครต้องมาขอ บุญตัวนี้แหละ ที่มันจะสร้างความแข็งแกร่งให้เรา แล้วถ้าน้องพยายาม ดูจากที่ว่าเคยได้ที่ ๑ มันส่ออยู่แล้ว มันสะท้อนอยู่แล้วว่าถ้าน้องไปสอนคนอื่น น้องก็ต้องทำให้เขาได้รับอะไรดีๆจากน้องได้อย่างแน่นอนนะครับ แล้วพอน้องเกิดความรู้สึกว่าตัวเองสามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองขึ้นมาได้ ถึงเวลานั้น ความเก่ง หรือว่าความสามารถอะไรที่มีอยู่ มันจะทวีตัวขึ้นไป มันจะทวีค่าขึ้นไป ดีกรีของมันจะยกระดับตัวเอง จะเห็นได้ชัดเลยว่าเราสามารถคิดอ่านอะไรได้แปลกมากขึ้น แล้วเราก็จะเห็นว่าความฉลาดที่เอาไปใช้ประโยชน์เอาไปทำให้โลกนี้ดีขึ้น หน้าตามันเป็นยังไง

การมีแรงกดดันอยู่ข้างในนี่ดีนะ มันเป็นแรงผลักดัน ถ้าหากว่าน้องแปรความรู้สึกกดดันให้กลายเป็นแรงผลักดัน ให้ทำประโยชน์กับโลกนี้ น้องจะพบว่าตัวเองเป็นหนึ่งในคนที่มีความกล้าจะดี คนส่วนใหญ่นะกล้าจะชั่ว แต่น้อยคนในโลกที่กล้าจะดี และคนที่เป็นประโยชน์กับโลกมากๆ ส่วนใหญ่เริ่มต้นขึ้นมาจากพื้นฐานแบบนี้แหละ มีความกดดันอะไรบางอย่างอยู่ มีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่

นักพูดที่พูดเก่งๆในทางตะวันตกที่เป็นระดับโลกเลยนี่นะ ปมในวัยเด็กมักจะทำให้คนประหลาดใจ นึกว่าจะต้องพูดเก่งมาตั้งแต่เด็กๆอะไรต่างๆไม่ใช่เลยนะ บางคนนี่ระดับที่สามารถจะปลุกระดมได้ หรือว่าไปให้แรงบันดาลใจระดับโลกได้ ตอนเด็กๆขี้อายไม่กล้าพูด ความไม่กล้าพูดหรือว่าปมด้อยอะไรบางอย่างที่ทำให้อยากเก่ง อยากจะพูดได้ขึ้นมา ทำให้มีความพยายามมากกว่าคนอื่น และความพยายามด้านดี ความพยายามที่จะเอาดีของตัวเองไปมอบให้กับคนอื่นในโลก ตัวนี้แหละที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และสามารถที่จะเชื่อมั่นในตัวเองได้มากกว่าใครๆ

ที่นี้ก็พูดดักไว้ล่วงหน้าเลยเผื่อน้องจะฟังซ้ำ พี่ขอเตือนไว้ล่วงหน้าด้วยว่าคนที่มีความมั่นใจในตัวเองมากๆ คือที่พลิกเปลี่ยนมาจากความไม่มั่นใจในตัวเองแล้วเปลี่ยนมาเป็นเชื่อมั่นมากๆ มันจะสวิง มันจะสวิงแบบสุดขั้ว จากที่มีปมด้อยนะมันกลายเป็นปมเขื่องไปได้เลย แล้วถึงตรงนั้น อัตตามันจะสูง อาจจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินขีด ก็ระวังตรงนั้นไว้ด้วย คือพยายามฝึกเจริญสติไปด้วย ไม่ใช่พัฒนาความเชื่อมั่นอย่างเดียว แต่ขอให้เจริญสติเพื่อให้เห็นว่าอัตตาเรามันพองเกินไปขึ้นมาเมื่อไร มีสติยับยั้งที่จะอยู่กับธรรมะที่มีความอ่อนโยน ที่มีความเยือกเย็นนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น