ถาม ซ มีวิธีสอนพ่อไม่ให้พูดจาเสียดสีผู้อื่นได้บ้างไหม? ทุกวันนี้พูดเสียดสีแม่ ทำให้แม่เสียใจ และมีอารมณ์โมโหตลอด ทำให้ทะเลาะกันบ่อยๆ บางครั้งก็ต้องขึ้นเสียงบ้างเพื่อให้ท่านได้สติ แต่ก็ได้เพียงชั่วคราว แล้วก็ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่รู้ว่าการขึ้นเสียงกับพ่อแม่จะส่งผลกรรมอย่างไรบ้างหรือเปล่า?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/T1ZuItvfQ20
ดังตฤณ :
อันนี้เป็นกรรมของเราเองนะ การจะเปลี่ยนความเคยชินของคนคนหนึ่งนี่นะ มันไม่ใช่ด้วยการไปพูดสอน หรือว่าแม้กระทั่งไปตักเตือน หรือว่าให้สติชั่วครั้งชั่วคราวนะครับ การเปลี่ยนนิสัย การเปลี่ยนความเคยชินของคนคนหนึ่ง ขอให้จำไว้เลยนะ มันไม่มียาล้างสมองที่ไหน มันไม่มีวิธีการใด มันไม่มีอุบายที่ล้ำเลิศแค่ไหนก็ตาม ไปเปลี่ยนแปลงใครเขาได้ นอกจากเขาจะมีความเต็มใจ มีความเห็นโทษในพฤติกรรมแบบเดิม แล้วก็มีความเห็นคุณค่าของพฤติกรรมแบบใหม่ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถทำให้ท่านมองเห็นโทษของการพูดจาเสียดสีได้ แล้วก็ไม่สามารถทำให้ท่านเห็นคุณของการพูดจาเป็นมิตรต่อกัน มีไมตรีต่อกัน มีความสบายหูแก่กัน อย่างไรๆก็ไม่มีทางหรอกครับ ที่จะไปเปลี่ยนอำนาจความเคยชินดั้งเดิม
คนเรานะ มีอยู่อย่างเดียวที่จะทำให้เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็คือ ได้เชื่อว่ากรรมและวิบากมีจริง ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรๆที่มันเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นการมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการได้เพศชาย เพศหญิง ไม่ว่าจะร่ำรวย ไม่ว่าจะมีสติปัญญา ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวใดๆก็แล้วแต่นี่ ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นกรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสด้วยว่าถ้าจะตอบแทนพ่อแม่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการให้ธรรมะ ทำให้ท่านมาศรัทธา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมที่ดีที่สุด ที่จะให้ผลดีที่สุด กับตัวเอง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ถ้าหากว่าเราจะปรับเปลี่ยน อยากจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางเสียดสี หรือว่าเบียดเบียนผู้อื่นของคุณพ่อ ไม่ใช่ว่าเราไปพูดเจาะจงว่าการเสียดสีไม่ดีอย่างไร เราต้องทำให้ท่านเชื่อโดยรวมเลยว่ากรรมและวิบากมีจริง และต้อนให้ท่านเห็น คือให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกรรมวิบาก เป็นตัวต้อนให้ท่านเห็นว่าการพูดจาเสียดสี เสียดแทง หรือว่าเป็นที่ระคายหูแก่ผู้อยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้ชิดกัน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าหากว่าจะต้องเกิดใหม่ ก็จะได้เกิดในบ้านที่มีแต่ความระคายหู ในบ้านที่มีแต่ความระคายใจ ในบ้านที่สมาชิกในบ้านเต็มไปด้วยคนพูดจาเสียดแทง คนพูดจาไม่เข้าหู คนพูดจาทิ่มตำให้เกิดการเจ็บใจกัน
ก่อนอื่นนี่ถ้าหากว่าท่านไม่มีพื้นฐานของความเชื่อ ไม่มีพื้นฐานของศรัทธา ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมวิบาก เราไม่มีทางป้อนข้อมูลชนิดนี้ให้ท่านได้ และการป้อนธรรมะให้ผู้บังเกิดเกล้าเป็นอะไรที่ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้เป็นลูก ลูกนี่ต้องเข้าใจนะว่า คุณพ่อคุณแม่เห็นเรามาตั้งแต่เรายังเป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อ ก้อนเท่าฝ่ามือ เรียกว่าเขาเห็นเรามาตั้งแต่ตอนยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย จนกระทั่งท่านเลี้ยงดูเรามา ให้เติบโตขึ้นมาทีละวัน ทีละวัน ความรู้สึกมันไม่มีทางหรอกที่จะมายอมรับให้เราไปสอนท่านได้ ยกเว้นแต่ว่า เราเอาธรรมะของครูบาอาจารย์ที่เราส่องๆดูแล้วนี่ น่าจะเข้ากับจริตของท่านได้ และครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึงเรื่องกรรมวิบาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึงหลักความเข้าใจพื้นฐานของพุทธศาสนาว่า ยืนอยู่บนความจริงที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และถ้าหากว่ากล่าววจีทุจริต กล่าววาจาที่เป็นการเบียดเบียนกัน ไม่มีทางที่จะรอดพ้นไปจากการถูกเบียดเบียนไปได้ ในปัจจุบันก็คือจะต้องได้รับการโต้ตอบจากคนที่อยู่ใกล้ตัว ในอนาคตก็คือจะต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีความสงบสุขทางหู ไม่มีความสงบสุขทางใจอันเกิดจากการอยู่ร่วมกัน อาจจะหมายถึงการมีศัตรูที่คอยตามทำให้เจ็บใจก็ได้ อาจจะหมายถึงการไปอยู่กับพ่อแม่หรือว่าอยู่ในครอบครัวพี่น้อง ญาติมิตร ที่เต็มไปด้วยคนอยากจะพูดจาทิ่มแทงกัน ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะทำให้ท่านเชื่อโดยรวมเลยว่าวิบากกรรมมีจริง มันจะง่ายขึ้น แต่ถ้าหากว่าจะมาพูดกันตรงๆ สรุปก็คือ กรณีเดียวเกี่ยวกับเรื่องการพูดจาเสียดแทง มันเป็นความเคยชิน มันเป็นนิสัยของท่าน มันเปลี่ยนยากนะครับ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เอาเป็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยดีกว่า
ลองคิดในทางกลับกัน ถ้าท่านอยากจะให้คุณเปลี่ยนนิสัยในทางลบ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าแม้กระทั่งนิสัยที่ดีอยู่แล้ว หรือว่าพอใช้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าไม่ถูกใจท่าน คุณจะสามารถเปลี่ยนได้รึเปล่า คุณจะสามารถระงับอกระงับใจได้รึเปล่า แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ขอให้เปลี่ยน แต่ท่านแสดงให้เห็นว่าการที่คุณคิด คุณพูด คุณทำอะไรบางอย่าง แล้วจะเกิดผลไม่ดีอย่างไรในวันข้างหน้า คือสามารถทำให้เห็นได้ชัดๆฉายเป็นภาพออกมาเลย ให้เห็นกันไปเลย อย่างนี้นี่ เราก็จะเกิดความรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจ มีแก่ใจที่จะเปลี่ยนขึ้นมาทันที มนุษย์นี่ยุ่งยากตรงนี้แหละ มันไม่สามารถเห็นได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ถ้าหากกำลังทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้าหากคิดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ถ้าหากพูดในสิ่งที่กำลังพูดอยู่ ถ้าหากว่าเห็นว่าจะเกิดความเดือดร้อนแค่ไหน ไม่มีใครในโลกเลยที่จะทำผิด แต่ด้วยความไม่รู้ ทำให้เราไม่เข้าใจ และก็มีแรงผลักดันมาจากกิเลส ผลักดันให้ทำแค่ไหน เราก็ทำไปแค่นั้น นี่คือธรรมชาติ นี่คือธรรมดาของโลกอันวุ่นวายนะครับ
อันนี้เป็นกรรมของเราเองนะ การจะเปลี่ยนความเคยชินของคนคนหนึ่งนี่นะ มันไม่ใช่ด้วยการไปพูดสอน หรือว่าแม้กระทั่งไปตักเตือน หรือว่าให้สติชั่วครั้งชั่วคราวนะครับ การเปลี่ยนนิสัย การเปลี่ยนความเคยชินของคนคนหนึ่ง ขอให้จำไว้เลยนะ มันไม่มียาล้างสมองที่ไหน มันไม่มีวิธีการใด มันไม่มีอุบายที่ล้ำเลิศแค่ไหนก็ตาม ไปเปลี่ยนแปลงใครเขาได้ นอกจากเขาจะมีความเต็มใจ มีความเห็นโทษในพฤติกรรมแบบเดิม แล้วก็มีความเห็นคุณค่าของพฤติกรรมแบบใหม่ ถ้าหากว่าเราไม่สามารถทำให้ท่านมองเห็นโทษของการพูดจาเสียดสีได้ แล้วก็ไม่สามารถทำให้ท่านเห็นคุณของการพูดจาเป็นมิตรต่อกัน มีไมตรีต่อกัน มีความสบายหูแก่กัน อย่างไรๆก็ไม่มีทางหรอกครับ ที่จะไปเปลี่ยนอำนาจความเคยชินดั้งเดิม
คนเรานะ มีอยู่อย่างเดียวที่จะทำให้เกิดกำลังใจ เกิดแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็คือ ได้เชื่อว่ากรรมและวิบากมีจริง ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรๆที่มันเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นการมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการได้เพศชาย เพศหญิง ไม่ว่าจะร่ำรวย ไม่ว่าจะมีสติปัญญา ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวใดๆก็แล้วแต่นี่ ทั้งหลายทั้งปวงล้วนแล้วแต่เป็นกรรม อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสด้วยว่าถ้าจะตอบแทนพ่อแม่ สิ่งที่ดีที่สุดคือการให้ธรรมะ ทำให้ท่านมาศรัทธา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมที่ดีที่สุด ที่จะให้ผลดีที่สุด กับตัวเอง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ถ้าหากว่าเราจะปรับเปลี่ยน อยากจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในทางเสียดสี หรือว่าเบียดเบียนผู้อื่นของคุณพ่อ ไม่ใช่ว่าเราไปพูดเจาะจงว่าการเสียดสีไม่ดีอย่างไร เราต้องทำให้ท่านเชื่อโดยรวมเลยว่ากรรมและวิบากมีจริง และต้อนให้ท่านเห็น คือให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของกรรมวิบาก เป็นตัวต้อนให้ท่านเห็นว่าการพูดจาเสียดสี เสียดแทง หรือว่าเป็นที่ระคายหูแก่ผู้อยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้ชิดกัน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าหากว่าจะต้องเกิดใหม่ ก็จะได้เกิดในบ้านที่มีแต่ความระคายหู ในบ้านที่มีแต่ความระคายใจ ในบ้านที่สมาชิกในบ้านเต็มไปด้วยคนพูดจาเสียดแทง คนพูดจาไม่เข้าหู คนพูดจาทิ่มตำให้เกิดการเจ็บใจกัน
ก่อนอื่นนี่ถ้าหากว่าท่านไม่มีพื้นฐานของความเชื่อ ไม่มีพื้นฐานของศรัทธา ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมวิบาก เราไม่มีทางป้อนข้อมูลชนิดนี้ให้ท่านได้ และการป้อนธรรมะให้ผู้บังเกิดเกล้าเป็นอะไรที่ ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้เป็นลูก ลูกนี่ต้องเข้าใจนะว่า คุณพ่อคุณแม่เห็นเรามาตั้งแต่เรายังเป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อ ก้อนเท่าฝ่ามือ เรียกว่าเขาเห็นเรามาตั้งแต่ตอนยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย จนกระทั่งท่านเลี้ยงดูเรามา ให้เติบโตขึ้นมาทีละวัน ทีละวัน ความรู้สึกมันไม่มีทางหรอกที่จะมายอมรับให้เราไปสอนท่านได้ ยกเว้นแต่ว่า เราเอาธรรมะของครูบาอาจารย์ที่เราส่องๆดูแล้วนี่ น่าจะเข้ากับจริตของท่านได้ และครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึงเรื่องกรรมวิบาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านพูดถึงหลักความเข้าใจพื้นฐานของพุทธศาสนาว่า ยืนอยู่บนความจริงที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และถ้าหากว่ากล่าววจีทุจริต กล่าววาจาที่เป็นการเบียดเบียนกัน ไม่มีทางที่จะรอดพ้นไปจากการถูกเบียดเบียนไปได้ ในปัจจุบันก็คือจะต้องได้รับการโต้ตอบจากคนที่อยู่ใกล้ตัว ในอนาคตก็คือจะต้องไปอยู่ในที่ที่ไม่มีความสงบสุขทางหู ไม่มีความสงบสุขทางใจอันเกิดจากการอยู่ร่วมกัน อาจจะหมายถึงการมีศัตรูที่คอยตามทำให้เจ็บใจก็ได้ อาจจะหมายถึงการไปอยู่กับพ่อแม่หรือว่าอยู่ในครอบครัวพี่น้อง ญาติมิตร ที่เต็มไปด้วยคนอยากจะพูดจาทิ่มแทงกัน ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะทำให้ท่านเชื่อโดยรวมเลยว่าวิบากกรรมมีจริง มันจะง่ายขึ้น แต่ถ้าหากว่าจะมาพูดกันตรงๆ สรุปก็คือ กรณีเดียวเกี่ยวกับเรื่องการพูดจาเสียดแทง มันเป็นความเคยชิน มันเป็นนิสัยของท่าน มันเปลี่ยนยากนะครับ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เอาเป็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยดีกว่า
ลองคิดในทางกลับกัน ถ้าท่านอยากจะให้คุณเปลี่ยนนิสัยในทางลบ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือว่าแม้กระทั่งนิสัยที่ดีอยู่แล้ว หรือว่าพอใช้ได้อยู่แล้ว แต่ว่าไม่ถูกใจท่าน คุณจะสามารถเปลี่ยนได้รึเปล่า คุณจะสามารถระงับอกระงับใจได้รึเปล่า แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ขอให้เปลี่ยน แต่ท่านแสดงให้เห็นว่าการที่คุณคิด คุณพูด คุณทำอะไรบางอย่าง แล้วจะเกิดผลไม่ดีอย่างไรในวันข้างหน้า คือสามารถทำให้เห็นได้ชัดๆฉายเป็นภาพออกมาเลย ให้เห็นกันไปเลย อย่างนี้นี่ เราก็จะเกิดความรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจ มีแก่ใจที่จะเปลี่ยนขึ้นมาทันที มนุษย์นี่ยุ่งยากตรงนี้แหละ มันไม่สามารถเห็นได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ถ้าหากกำลังทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ถ้าหากคิดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่ ถ้าหากพูดในสิ่งที่กำลังพูดอยู่ ถ้าหากว่าเห็นว่าจะเกิดความเดือดร้อนแค่ไหน ไม่มีใครในโลกเลยที่จะทำผิด แต่ด้วยความไม่รู้ ทำให้เราไม่เข้าใจ และก็มีแรงผลักดันมาจากกิเลส ผลักดันให้ทำแค่ไหน เราก็ทำไปแค่นั้น นี่คือธรรมชาติ นี่คือธรรมดาของโลกอันวุ่นวายนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น