วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๔๗ ชอบดูหนัง ฟังเพลง ตัดกิเลสยาก?


การนั่งสมาธิหรือปฏิบัติกรรมฐาน เป็นการสั่งสมกำลังใจ เพื่อที่จะนำไปตัดกิเลสใช่ไหมครับถ้าเราดูหนัง ฟังเพลง หรือทำผิดศีล จะเป็นการลดทอนกำลังใจลงไหม?

รับฟังทางยูทูบ : 
https://youtu.be/Gi6v69OUF2c

การนั่งสมาธินี่นะ จริงๆแล้วเป็น ‘ความสงบ’ นะครับ เป็นการเอาความสงบ เพื่อที่จะทำให้กิเลสที่หยาบๆทั้งหลายระงับลงชั่วครู่ เพื่อที่จะเอาสมาธิที่ได้มานั้น มารู้ต่อ มา ‘รู้ตามจริง’ ว่า ‘ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งในกายในใจนี้เลย ที่มีความเที่ยง หรือมีอะไรที่เป็นหลักฐานของความมีตัวตน มีแต่หลักฐานของความไม่ใช่ตัวตนทั้งสิ้น’ นี่คือจุดประสงค์เริ่มแรกที่เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนนะครับ

เมื่อเข้าใจว่าจะทำสมาธิไปทำไม ในที่สุดเราก็จะทำสมาธิไปเพื่อ ‘เจริญสติ’ ให้มีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แค่เข้าใจด้วยมุมมอง แต่เข้าใจด้วยการหยั่งซึ้งถึงความจริงในกายใจตัวเองว่า ‘ไม่มีอะไรที่เที่ยง ไม่มีอะไรที่ใช่ตัวตน’ ตัวนี้คือจุดประสงค์หลักนะครับที่ต้องทำความเข้าใจกัน

คำถามก็คือว่า ‘ถ้าหากเราไปเอากิเลสมาเข้าสู่จิตสู่ใจ จะเป็นการบั่นทอน จะเป็นการลดทอนกำลังรึเปล่า?’ อันนั้นแน่นอนครับ เราดูนะว่า การปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสติแบบพุทธ ไม่ได้เอาตรงแค่มีสมาธิ มีสติ หรือเอาความรู้นะ ท่านยังบอกด้วยว่า ‘เพื่อที่จะทำทางให้สมบูรณ์แบบ เราต้องดูกันที่องค์มรรค ว่ามีครบ ๘ ประการรึเปล่า

หนึ่งในองค์มรรคนั้นก็คือ มีดำริที่จะออกจาก ‘กาม’ มีดำริที่จะออกจาก  ‘ความติดใจ’ ทั้งหลายทั้งปวง เพราะว่าที่สุดของการเจริญสติปฏิบัติธรรมกรรมฐานคือ การ ‘เลิกติดใจในภาวะของกายใจ สามารถเห็นตามจริงได้

คือพอ ‘เลิกติดใจ’ ก็จะมีความสามารถที่จะ ‘เห็นตามจริง’ เห็นแจ้ง เห็นประจักษ์ ว่ากายใจมีความ ‘ไม่เที่ยง’ ‘ไม่ใช่ตัวตน’  ไม่ใช่อะไรที่น่าเอา ‘ไม่ใช่อะไรที่น่ายึด

ที่นี้ถ้ายังดำริในกาม ยังติดใจในกามอยู่ โอกาสที่เราจะมีความปลอดโปร่งมากพอที่จะเห็นตามจริงว่า กายใจนี้ไม่เที่ยง กายใจนี้ไม่ใช่ตัวตน มันแทบจะเป็นศูนย์เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ราคะ โทสะ โมหะ กำลังครอบงำจิตใจของเราอยู่เต็มๆ โอกาสที่จะเห็น โอกาสที่จิตจะเปิดออกรับความจริงนั้นยากมาก ถึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหนึ่งในองค์มรรค ท่านถึงบอกว่าต้องดำริที่จะออกจากกาม เห็นกามเป็นโทษ โดยความเป็นโทษ

ที่นี้การที่เราจะเป็นฆราวาส แล้วก็ดำริออกจากกามด้วย มันยาก ยกเว้นแต่เป็นฆราวาสที่เบื่อ เบื่อหน่ายชีวิตแบบโลกๆแล้ว พร้อมอยู่ตลอดเวลาที่จะไปบวชแล้ว หรือตั้งใจไว้แล้วล่ะ มีการเคานต์ดาวน์ไว้เรียบร้อยเลย หกเดือน หนึ่งปี สองปี สะสางอะไรเรียบร้อยแล้ว หรือตกลงกับญาติพี่น้องไว้เรียบร้อยแล้วว่า ถ้าพ่อแม่สิ้นแล้วนะ หรือว่าภาระตรงนี้ ลูกเต้าเลี้ยงจนกระทั่งเขาโตแล้วนะ เราจะไปบวช ปลอดโปร่งโล่งใจแล้ว ตกลงกับทุกฝ่ายได้ ทุกฝ่ายยินดี แบบนี้ก็เรียกว่าเป็นการเคานต์ดาวน์เตรียมตัว ซึ่งถ้าหากว่าดูคนประเภทนี้นะ ระหว่างที่เขาเตรียมตัวบวชจริงๆ ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการคลุกคลีเรื่องของกิเลสทั้งหลาย การบันเทิงทั้งหลาย เพื่อที่จะเตรียมพร้อมความเป็นพระ พูดง่ายๆ ‘เป็นพระก่อนที่จะบวช

แต่ที่นี้ถ้าหากว่าเรายังติดใจอยู่ ตัดสินใจอยู่ว่าจะเป็นฆราวาสไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีเป้าหมาย ไม่ได้มีทิศทางชัดเจนว่า สุดท้ายแล้วเราจะบวชแบบนี้นะครับ คือต้องทำความเข้าใจกันนิดนึงว่า การเจริญสติหรือปฏิบัติธรรมกรรมฐานในขณะที่อยู่ในเมือง ครองเพศฆราวาสแบบนี้ เป็นไปเพื่อที่จะทำให้สติมีการสั่งสมตัวขึ้นไปทีละนิดทีละหน่อย วันละนิดวันละหน่อย ไม่ใช่จะเอาทางตรง แต่เป็นทางแบบที่ว่า เดินบ้างพักบ้างนะครับ

สรุปก็คือ การที่เราจะไปเกลือกกลั้วกับการบันเทิง ไปดูหนังฟังเพลง หรือทำอะไรที่ผิดศีลยิ่งแล้วใหญ่เลยนะ การดูหนังการฟังเพลงแต่ละครั้ง จะทำให้เรามีอาการยึดติดอยู่ว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้น่าชอบใจ สิ่งนี้น่าหวงไว้ อันนี้ไม่ใช่ในระดับของการ ‘คิด’ แต่เป็นระดับของ ‘จิต’ เลยทีเดียว ว่าเราจะยึดไว้ จิตเขาจะมีอาการแบบนั้น ไม่ใช่ความคิดของเรานะ แต่เป็นอาการของจิตเลยทีเดียว ที่คว้าไว้ไม่ปล่อย

ยิ่งถ้าเกิดผิดศีลนะ มันไม่ใช่แค่ยึดไว้เฉยๆ แต่สภาพของจิตเองจะมีความมัวหมอง ธรรมชาติของการผิดศีลจะทำให้จิตมัวหมอง จะทำให้จิตมีความกระวนกระวาย กระสับกระส่ายไปในทางมืด จะทำให้จิตเหมือนกับมีม่านกั้นขวาง’ ระหว่าง ‘ตัวเอง’ กับ ‘ความจริง

สังเกตดูเถอะ คนโกหกเก่งๆ จะไม่ค่อยรับรู้อะไรตามจริงได้ง่ายๆ จะรู้สึกว่าตัวเองฉลาด จะรู้สึกว่าคนอื่นเขาโง่กว่าตัวเองหมด เพราะตัวเองหลอกคนอื่นเขาได้นี่ ก็เห็นเป็นไอ้หน้าโง่ไป ทั้งๆที่จริงๆเขาไม่ได้โง่ แต่เขาตามไม่ทัน เพราะว่าเรายังแนบเนียน สีหน้าสีตายังเป็นมนุษย์มนาอยู่

แต่ถ้าเมื่อไรที่หน้าตาจอมโกหกเบ่งบานเต็มที่แล้ว เอาหน้าไปให้ใครเขาดู เขาก็รู้สึกไม่อยากเชื่อถือแล้ว ไม่ต้องพูดเลย ไม่ต้องมาแสดงหลักฐานอะไรกัน ยังไม่ทันอ้าปาก เห็นลิ้นไก่ก่อนเลยนะครับ

แล้วตัวจิตตัวใจของคนที่โกหกเก่งๆ ก็จะดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกไปหมด พวกนี้นะ ตามคำถามนะ ‘ถ้าหากว่าทำผิดศีลจะเป็นการลดทอนกำลังใจลงไหม?’ มันไม่ใช่แค่การลดทอนกำลังใจอย่างเดียว แต่จะทำให้ใจ ‘ไม่มีความสามารถที่จะเห็นตามจริง’ ได้เลยทีเดียว สังเกตเถอะ คนที่ผิดศีลมากๆ พอพูดถึงธรรมะปุ๊บ หันหน้าหนีเลย อย่าว่าแต่จะมาฟังว่าเขาปฏิบัติธรรมกันอย่างไรนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น