วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๔๖ ขี้เกียจ ง่วง ซึม อยากเปลี่ยนตัวเอง

ถาม:  บางวันมีอารมณ์ที่จะขยันอ่านหนังสือเรียน มีอารมณ์ที่จะตื่นนอน มีพลังงาน มีความตื่นตัว แต่ส่วนใหญ่จะรู้สึกขี้เกียจ ซึม แล้วก็ง่วง ทำอย่างไรถึงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้เป็นส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน?

รับฟังทางยูทูป : https://www.youtube.com/watch?v=exHvbHL-GTw

ดังตฤณ :
ส่วนใหญ่นะ ที่เห็นเลย บ่นแบบนี้ก็คือไม่ค่อยออกกำลังกายกัน อันนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเลยนะครับ คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย มันจะมีความง่วงเหงาหาวนอน พร้อมที่จะซึม พร้อมที่จะง่วง ไม่พร้อมที่จะตื่นตัว

แต่ถ้าหากว่าออกกำลังกายแล้ว ออกทุกวันเลย หรือว่าอย่างน้อยที่สุด บริหารร่างกายนิดๆหน่อยๆอะไรแบบนี้แล้ว ยังไม่ตื่นตัวอีก ก็ขอให้สันนิษฐานว่า การออกกำลังของคุณยังไม่มีความชัดเจนพอ เหมือนกับสักแต่ทำๆไป เพื่ออ้างว่าออกกำลังแล้ว

คนที่จะออกกำลังกายจริงๆ ต้องได้เหงื่อสักนิดนึง แล้วก็ต้องออกกำลังนานสักนิดนึง ถ้าหากว่าเล่นกีฬาในแบบที่จะต้องใช้ความว่องไวทางสายตาและประสาทสัมผัสได้ยิ่งดีเลย อันนั้นจะชัดเจนมากว่า ประสาทของเราจะถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวนะครับ พร้อมที่จะมีความกระปรี้กระเปร่า

มันไม่เกี่ยวกับว่าเราจะปฏิบัติธรรมได้ดีหรือไม่ดีด้วยนะ การที่จะมีอารมณ์ขยัน อยากตื่นนอนแต่เช้า มันขึ้นอยู่กับว่า เรามีอะไรทำหรือเปล่า?’ นอกจากร่างกายจะแข็งแรงแล้ว จิตใจของเรานะครับ จะต้องมีความชัดเจนใน เป้าหมายแต่ละวันว่า ตื่นขึ้นมาปุ๊บ มันนึกถึงอะไรก่อน?

ถ้าหากไม่นึกถึงอะไรเลย หรือรู้สึกคลุมเครือๆ จิตใจมีความฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน มีความเหม่อลอย มีความพร้อมที่จะฝันกลางวันไป แบบนั้นก็แน่นอนครับ มีความเป็นไปได้สูง ที่ในหนึ่งสัปดาห์จะตื่นขึ้นมาด้วยความขี้เกียจสักห้าวัน อีกสองวันถึงจะฟลุก เกิดมีอารมณ์ขยันขึ้นมา กระตือรือร้นขึ้นมา

การที่เราจะตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า แล้วมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ ไม่ใช่อยู่ๆตื่นขึ้นมาเช้านึง แล้วเกิดเป้าหมายในชีวิตขึ้นมาอย่างจัง ไม่ใช่! มันเกิดจาก การใช้ชีวิตที่ชัดเจนว่า เราทำอะไร? เราอยู่ไปทำไม?

แล้วการอยู่ไปทำไม บางทีไม่ใช่เรื่องของการทำงานหาเงินเสมอไป แต่ทำในสิ่งที่ใจรัก!

จำไว้ว่า สิ่งที่ใจรักเท่านั้น จะทำให้ใจเล็งไปที่นั่นแล้วก็รู้สึกว่าชีวิตมีอะไรบางอย่างให้ทำ ชีวิตมีเป้าหมายบางอย่างอยู่ ที่เราจะพุ่งตรงไป จะชนช้าหรือชนเร็ว แต่อย่างน้อยที่สุด ใจมันมีอาการพุ่งไป มันมีอาการแล่นไป มีอาการตั้งเข็มไปในทิศทางนั้น เห็นได้ชัดที่สุดก็ตอนเช้านี่แหละ ตื่นเช้าขึ้นมาเรารู้สึกอย่างไร? ชีวิตมีความเคว้งคว้าง หรือว่าชีวิตมีทิศทางที่พุ่งตรงไป

ถ้าหากว่าใจเรารักในการทำอะไรอย่างหนึ่งนะครับ ตื่นเช้าขึ้นมา ร่างกายจะปรับตัวให้พร้อมที่จะไปทำงานแบบนั้น อาจจะเป็นเรื่องของความกระปรี้กระเปร่าทางร่างกาย ที่เกิดจากการหลั่งสารที่เป็นสุข หลั่งสารที่พร้อมจะทำให้เกิดความกระตือรือร้น

ขอแนะนำว่า ถ้าหากไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่า ใจเรารักที่จะทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ ให้รักที่จะ สังเกตว่า ในแต่ละเช้า คุณมีความรู้สึกมืดมน มีความรู้สึกมัวหมอง มีความรู้สึกเหม่อลอย มีความรู้สึกฟุ้งซ่าน มีความรู้สึกอย่างใด ก็ให้ยอมรับไปตามนั้น ยอมรับตามจริง ว่ามันเกิดขึ้น

เมื่อสังเกตออกว่า จิตของเราในขณะตื่นนอนขึ้นมา มีความมัวหม่น มีความขี้เกียจ ไม่อยากที่จะลุกขึ้นไปทำอะไร เมื่อนั้นอย่างน้อยที่สุดนะ สติมันจะเกิดขึ้น แล้วเห็นความมัวหม่นมันอ่อนตัว อ่อนกำลังลง คือมันจะไม่ดับลงไปซะทีเดียวนะครับ มันจะไม่หายไป แต่อย่างน้อยที่สุด มันจะมีความรู้สึกเริ่ม เคยชินที่จะสังเกตเข้ามาในอาการขี้เกียจ ในอาการมัวหม่นของจิต

ทุกครั้งที่สังเกตเข้ามา คุณจะมีความรู้สึกเหมือนกับมีอาการตื่นขึ้นมาเล็กๆ มีอาการแทรกแซงของ กุศลที่เข้ามาเบียดบัง อกุศล มีความรู้สึกชัดเจนขึ้นมา แทนความมัวหม่นที่เพิ่งตื่นจากฝันนะครับ

แล้วจากนั้น ถ้าหากว่ามีลมหายใจให้สังเกตได้ก็สังเกตลมหายใจต่อ สังเกตว่าลมหายใจเข้ามาแล้วสดชื่น สังเกตว่าลมหายใจระบายออกไปแล้วเกิดความรู้สึกว่าความอึดอัดกลางอกมันออกไป มันหายไป แบบนี้ในที่สุดแล้วคุณจะเกิดความ เคยชิน

สั่งสมความเคยชินจนกระทั่งว่า ตื่นเช้าขึ้นมามี สติ
และถัดจากสติ
จะมี  สมาธิอันเกิดจากการรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกได้
เรียกว่าเป็นการเอาความขี้เกียจ
มาเป็นอุปกรณ์พัฒนาความขยันเลย

จริงๆนะ ทุกเช้าเนี่ย มันเป็นโอกาสทองเลย ที่จะสั่งสมความเคยชิน ถ้าหากว่าเราสั่งสมความเคยชินที่จะทอดหุ่ยเรื่อยๆเปื่อยๆ ในที่สุดแล้ว เราจะพบว่า ทั้งชีวิตมันตื่นนอนขึ้นมาด้วยความขี้เกียจเสมอ และก็รู้สึกว่าชีวิตมันเริ่มต้นขึ้นมาอย่างไม่มีความหมาย

แต่ถ้าหากว่าเราสั่งสมความเคยชินที่จะฝึกสติ สังเกตดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตกับใจ สังเกตดูว่าความสดชื่นของลมหายใจ ความอึดอัดที่ถูกระบายออกไปในแต่ละครั้งมันเป็นยังไงนะครับ ลักษณะของความเคยชินที่สั่งสมแล้ว ผ่านวันผ่านเดือน มันจะทำให้คุณเกิดสมาธิในขณะที่ตื่นนอนไปเอง ทดลองดู แล้วจะรู้ว่าจริงไหม

ส่วนใหญ่ก็จะเจอเหมือนๆกันแหละนะ คือบางทีตื่นขึ้นมา แล้วก็เกิดความรู้สึกไม่อยากจะลุกจากที่นอน เหตุผลที่แท้จริงนะ มันเป็นเพราะว่า ไม่มีตัวฉุดเราขึ้นจากที่นอนนะครับ

ตัวฉุดที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ สิ่งที่เรา รักที่จะทำไม่ใช่สิ่งที่เราตั้งใจที่จะให้เกิดอะไรขึ้นให้ได้

บางทีเราแค่บอกกับตัวเองว่า ฉันจะตื่นนอนขึ้นมาด้วยความขยันขันแข็ง
ตื่นทันทีที่รู้สึกตัว มันก็ทำได้อยู่หรอก ทำได้สองสามวัน แต่ว่าหลังจากนั้น เหมือนกับว่าแรงฉุดแบบนั้นมันจะแผ่วลงไป แผ่วกำลัง อ่อนกำลังลงไป สู้งานหรือสิ่งที่เรา รักจะทำไม่ได้

แม้กระทั่งการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ หรือการเดินจงกรมอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราเกิดความชุ่มชื่นใจ อะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึก ติดใจที่จะเข้าไปเสพอารมณ์สุขแบบนั้น เข้าไปเสวยสุขแบบนั้น มันสามารถฉุดเราขึ้นจากที่นอนได้ทั้งสิ้น

ปัญหาก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังใจมากพอที่จะทำสมาธิให้ต่อเนื่อง
จนกระทั่งเกิดความสุข หรือบางคนมีกำลังใจพอที่จะทำให้เกิดความต่อเนื่อง แต่ก็ทำผิดวิธี ทำแล้วมันไม่เกิดความสุข ทำแล้วมันเกิดแต่ความรู้สึกเครียดหรือว่าเคร่ง หรือว่าจะต้องถามตัวเองเสมอว่า นี่เรามานั่งทำอะไรอยู่ เสียเวลานอนไปเปล่าๆ เสียเวลาเสวยสุขบนที่นอนที่แสนสบาย ตรงนั้นแหละ ที่พระท่านถึงได้บอกว่า ควรจะลองฝึกที่จะถือ ศีลอุโบสถหรือว่า ศีล ๘ดูบ้าง เพราะว่าศีล ๘ จะห้ามไม่ให้เราเข้าไปเกลือกกลั้วกับความสบาย หมกมุ่นกับความสบายจน เคยตัวมากเกินไป

การถือศีลแปดจริงๆแล้ว ถ้าว่าไป ก็ไม่ค่อยเหมาะกับฆราวาสสมัยนี้ แต่ถ้าหากว่าใครอยากจะตื่นนอนขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบากาย สบายใจ
และก็มีสมาธิจริงๆ ก็ต้องลงทุนลงแรงครับ ต้องยอมแลกกัน อาจจะเลือกวันสะดวกก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกวันพระก็ได้ หนึ่งเดือนเอาสักแค่ครั้งนึงหรือสองครั้ง ทดลองดู แค่ครั้งสองครั้งต่อเดือนมันมีผลแล้ว มันทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างนะครับว่า ถ้าเราควบคุมในเรื่องของการกิน การนอน การบริโภค แล้วก็การบันเทิง มันมีผลจริงๆที่จะทำให้จิตใจของเราสดชื่นขึ้น สดใสปลอดโปร่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น