วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๗๓ คิดไม่ดี! จะหยุดคิดได้อย่างไร?

ถาม : คิดไม่ดีหรือคิดทะลึ่งกับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ รู้สึกไม่ดี ห้ามคิดก็ไม่หาย ควรทำอย่างไร?

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/jWbpopjLCMA

ดังตฤณ: 
เรื่องของความคิด ถ้าเรายิ่งไปสู้กับมัน บางทีแทนที่จะดีมันกลายเป็นยิ่งแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันคิดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่า เอ๊ะ! ทำไมเราคิดอย่างนี้ ทำไมมันคิดทะลึ่งแบบนี้ ทำไมมันมีครูบาอาจารย์แท้ๆ ทำไมเราถึงไปคิดไม่ดีกับท่าน ความรู้สึกว่านี่เป็นความคิดของเราแน่ๆ นี่เป็นกรรมของเราแน่ๆ มันจะทำให้เรากลุ้มใจ มันจะทำให้เราเกิดความวิตกกังวลไปว่า เดี๋ยวจะต้องไปรับผลอะไรไม่ดีหรือเปล่า คือข้างหน้าจะเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้ทุกข์ทรมานใจราวกับว่ามีใครเอาเตาร้อนๆมารมมาอบเราทีเดียว

เพื่อที่จะมีการโต้ตอบกับความคิดไม่ดีอย่างถูกต้อง ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจว่าความคิดที่มาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้มันมีเหตุมีผลเสมอ มันมาจากความคิดไม่ดีแบบเก่าๆนั่นแหละ เราเคยคิดไม่ดี พูดไม่ดี หรือว่าทำไม่ดีอะไรไว้ ผลมันก็มาสะสมเป็น ‘สัญญา’ เป็นความจำได้หมายรู้ เป็นอาการที่จิตมันไปเหนี่ยวไปดึงเอาลักษณะแบบนั้นมาคิดเอง เมื่อเกิดการกระทบกับภาพหรือว่าได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่มันกระตุ้นเตือน ยกตัวอย่างเช่น เราเคยทำเป็นเล่นๆกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ เราลืมไปแล้วตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่ว่าตอนโตขึ้นมาเรามาเจอครูบาอาจารย์ ภาพครูบาอาจารย์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มันมากระตุ้นเตือนให้นึกถึงสิ่งที่เราเคยทำเล่นๆ ล้อเลียนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ ก็อาจจะผลิตคำพูดที่มันทะลึ่งตึงตังออกมา หรือว่าความคิดที่มันแย่ๆที่เป็นอคติที่มันเป็นอะไรร้ายกาจออกมาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจเลย มันเป็นคนละคนกันแล้ว ตอนเด็กมันเหมือนกับตายหายจากไปแล้วแต่ว่าตัวเราที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวมันยังอยู่ แล้วมันก็ยังอุตส่าห์ดึงเอาสิ่งที่มันน่าจะสาบสูญไปแล้วกลับมาคิดใหม่ มันร้ายกว่าเดิมเพราะว่าคนโตขึ้นความคิดมันก็ซับซ้อนมากขึ้น ทีนี้ถ้าเรามองว่าจริงๆแล้วสภาพตอนเราเป็นเด็กมันตายไปแล้ว มันหายไปแล้ว มันไม่มีอยู่ในโลกนี้แล้ว เหลือแต่ร่องรอยของการกระทำที่สืบเนื่องมา ตัวตนจริงๆมันไม่มี มันมีแบบนี้แหละ พอตัวตนหนึ่งตายไป อีกตัวตนหนึ่งมันก็ต้องมารับผลเป็นทายาทสืบมรดกของตัวตน ก่อนที่มันคลี่คลายมาจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่

พอเราเห็นแบบนี้นะว่าความคิดไม่ดีมันไม่ใช่ว่าอยู่ๆเกิดขึ้นลอยๆ มันมีเหตุมีผล แต่ถามว่าตัวตนของเราตอนนี้มันเชื้อเชิญความคิดแบบนี้มาอยู่ในหัวหรือเปล่า? ถ้าเราได้คำตอบอย่างชัดเจน ปลงใจไปเลยว่า นี่ไม่ใช่ความต้องการของเราในปัจจุบัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่เรามีใจยินดีที่จะให้มันเป็นไป ก็ถือได้ว่า ความคิดไม่ดีที่เกิดขึ้นในหัวในขณะนี้ ในปัจจุบันนี้ เป็นเครื่องหมายของอนัตตาได้ ให้เราเรียนรู้ว่า คำว่าอนัตตาหน้าตาเป็นแบบนี้ ไม่ได้ยินดีให้มาอยู่ในหัว แต่มันก็มาอยู่ในหัว ไม่ได้ยินดีให้เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้น ไม่สามารถที่จะไปบังคับมัน อยากจะบังคับมันแต่ก็บังคับมันไม่ได้ จะให้เกิดเมื่อไหร่จะให้หายไปเมื่อไหร่ จะให้สามโมงเช้ามันเกิดความคิดนี้ขึ้นมาก็บังคับไม่ได้ ถ้ามันไม่อยากเกิด ถ้ามันไม่มีเหตุปัจจัยมากระตุ้นเตือนให้เกิด หรืออยากจะให้มันหายไปตอนสิบโมงหนึ่งนาทีก็ไม่สามารถให้หายไปได้

ถ้าหากว่าเรายังไปสร้างเหตุปัจจัยให้ใจมันมีอาการยึดมั่นถือมั่นโดยไม่รู้ตัว อาการยึดมั่นถือมั่นมาจากทางไหน? มาจากตรงนี้แหละที่เราไปกังวลมากเกินไป อาจจะด้วยความกลัวกลัวบาปกลัวกรรม เดี๋ยวเราจะต้องไปตกนรกหมกไหม้ เดี๋ยวเราจะต้องมีความคิดแย่กว่านี้อีก กลายเป็นคนบ้าคนบอไป อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกพะวง นั่นแหละอาหารหล่อเลี้ยงความคิดไม่ดี นั่นแหละตัวที่ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าความคิดไม่ดีเป็นเรา ทั้งๆที่ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้น แล้วเรารับรู้เฉยๆว่ามันมาโดยที่เราไม่ได้เชื้อเชิญ มันอยู่ในหัวเราแป๊บหนึ่งเดี๋ยวมันก็ต้องจรหายไป เหมือนแขกแปลกหน้าเยี่ยมหน้าเข้ามา ถ้าหากว่าเราไม่เอาน้ำมาต้อนรับขับสู้ แล้วก็ไม่ไปพยายามขับไล่ให้เขาเกิดอาการฮึดสู้ขึ้นมา เดี๋ยวเขาก็ไปเอง หมดแรงเอง คิดให้ได้แบบนี้แล้วค่อยๆฝึก คือพอคิดได้ ปลงใจได้ มันยังไม่จบ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นการรับฟัง แต่พอไปลงมือปฏิบัติจริงมันอีกแบบหนึ่ง

ขอให้เราจำไว้ก็แล้วกันว่า ‘เวลาเขามาอย่าต้อนรับ และก็อย่าขับไล่ แต่ให้รู้’ รู้เพื่ออะไร? เพื่อที่จะได้เห็นว่ามันไม่จริงนะ มันไม่ได้เป็นตัวของเราจริงๆ มันมาแล้วก็ไป เห็นบ่อยๆเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ทุกครั้งอย่าคาดหวังว่ามันจะหายไป แต่คาดหวังว่ามันจะมาอีกเรื่อยๆ แล้วก็ดูไปอีกเรื่อยๆว่ามันมาอีกแล้ว มาเพื่อที่จะรบกวนจิตใจเรา แต่ถ้าไม่มีตัวเราอยู่ให้รบกวน มันก็จะมีแต่จิตที่มีสติรู้ว่า มาแล้วก็ไปๆ เป็นครั้งๆ ทุกครั้งที่เห็นว่ามาแล้วก็ไป มาแล้วก็ไป ใจมันจะสบายขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกว่ามันรบกวนเราได้น้อยลงเรื่อยๆ ยิ่งอะไรที่มันมาบ่อย รบกวนจิตใจของเราไม่ได้ อันนั้นเครื่องมือเจริญสติชั้นดีเลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น