ทำบุญแล้วรู้สึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ทำอะไรที่เสี่ยงๆก็คิดว่าไม่เป็นไร จะมีวิธีคิดอย่างไรที่จะทำให้ไม่ประมาท?
(ถาม – เวลาเราทำบุญเข้าหาธรรมะ พอทำอะไรก็คิดว่าตัวเองมีบุญ มีสิ่งคอยคุ้มครอง ทำอะไรที่เสี่ยงๆก็คิดว่าไม่เป็นไร บางครั้งทำให้ตนตั้งอยู่ในความประมาทได้ จะมีวิธีคิดอย่างไรให้เลิกหลงแบบนี้?)
รับฟังทางยุทุป https://www.youtube.com/watch?v=kKFind5JP0Q
ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันนะครับ เล่ามาเนี่ยมันใช่เลยนะ เป็นการเหมือนกับสารภาพไปในตัวว่าเรามีด้านกลับของความดีอย่างไร ด้านกลับของความดีไม่ใช่ความชั่วร้ายเลวทรามเสมอไปนะ แต่อาจจะเป็นแค่อะไรพื้นๆ เช่น รู้สึกทะนงหลงตัว หรือว่าเกิดความรู้สึกเหมือนกับทำอะไรก็ได้ไม่ผิดทำนองนั้น ซึ่งไม่เป็นกันเฉพาะคุณนะ แต่เป็นกันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพึ่งเปลี่ยนวิถีทางจากชีวิตแบบโลกๆมาเข้าสู่ทางธรรม แล้วก็เกิดความรู้สึกว่ามันแตกต่างกันมาก เรียกว่าจากเหวขึ้นมาเป็นฟ้า จากมืดกลายเป็นสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างมันต่างไป แบบที่เรียกว่าเรารู้สึกราวกับเกิดใหม่ หรือว่าเป็นคนละชีวิตกันได้ทีเดียว หลายๆคนจะเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเนี่ยนะ นอกจากจะมีความเบ่งบานสดชื่นแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งบางประการที่ออกมาจากภายในนะ มันอาจจะไปประสมกับทุนเก่าด้วย หรือว่าอาจจะมีฐานอยู่แล้ว แล้วก็มาต่อยอดให้กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าขึ้นมา และรู้สึกว่าความสว่างเจิดจ้าแบบนี้ มันเหมือนกับบอกใบ้เราว่าตัวเราวิเศษ และก็เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีความเจิดจ้าแบบเดียวกัน อันนี้เพื่อที่จะไม่ให้หลงติดดี หรือว่าไปเกิดความทะนงหลงอัตตาแบบใหม่ขึ้นมา อย่างหนึ่งที่เราควรจะเตรียมไว้เป็นอันดับแรกก็คือการมองเห็นตามจริง ยอมรับตามตรงว่ามันเกิดความทะนงหลงตัวขึ้นมา คือเตรียมใจไว้แต่แรกเลยว่า ถ้ามีความสว่างจากการทำบุญ หรือว่าอยู่ในเส้นทางของการเจริญสติ อยู่ในเส้นทางของการที่เป็นพุทธมามกะมากขึ้น และยิ่งอยู่บนเส้นทางที่สะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ ความรู้สึกสูงส่งมันจะตามมาเป็นเงาตามตัว พอเตรียมใจไว้อย่างนี้แล้วก็พอที่จะมีสติดูได้ ณ เวลาที่อัตตามันเติบโตขึ้นมา มันจะแตกต่างกับคนที่ไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า คือไม่หลงเพลินไป มันจะมีสติว่า เออ…ตอนนี้เราเกิดความรู้สึกเหมือนกับประมาทชะล่าขึ้นมาแล้ว นึกว่าไม่เป็นไร นึกว่ามีธรรมะคุ้มครอง ลองดูครูบาอาจารย์นะ ท่านบางทีปฏิบัติกระทั่งจบกิจแล้ว ท่านยังตกเครื่องบินได้ เครื่องบินระเบิดกลางอากาศก็มีให้เห็นมาแล้ว หรือว่าเอาในสมัยพุทธกาล แม้กระทั่งพระโมคลานะ ที่ท่านเป็นพระอรหันต์มี ‘อภิญญา ๖’ ครบเลย คือนอกจากจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ยังสิ้นอาสวกิเลส ท่านยังมรณภาพด้วยการถูกโจรทุบจนกระทั่งร่างกายแตก พอมองไปที่ครูบาอาจารย์ท่านเนี่ย ท่านดีกว่าเรา ท่านวิเศษกว่าเราล้านเท่า ท่านก็สามารถที่จะถูกกรรมเก่าเล่นงานได้ แล้วเราเป็นใครเรามีดีแค่ไหนถึงจะไม่มีสิทธิ์ที่จะโดนแบบพวกท่านบ้าง อันนี้คือไม่ใช่ดูไว้เพื่อที่จะเกิดความรู้สึกว่าโอ้ครูบาอาจารย์ท่านไม่วิเศษจริง แต่ดูไว้เพื่อที่จะให้เห็น เพื่อที่จะให้สลดสังเวชในธรรมดาของกรรมวิบาก แม้แต่พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่าท่านบำเพ็ญมามากที่สุดแล้ว ไม่มีใคร ณ เวลาที่ท่านตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่มีสังสารสัตว์ใดในอนันตจักรวาลที่มีบารมีเทียบเท่าท่าน ท่านก็ยังต้องประสบกับเคราะห์กรรมนานาประการนะครับ มีคนปล่อยช้างมาจะให้ทำร้ายท่านบ้างล่ะ มีคนใส่ร้ายท่านบ้างล่ะ หรือว่าทรงประชวรมีไข้ขึ้นสูงนะครับ กระทั่งว่าท่านจวนจะดับขันธปรินิพพานแล้ว อยากจะเสวยดื่มน้ำจากลำธาร น้ำก็ขุ่นซะเพราะว่ามีวัวมาเดินผ่านอะไรแบบนี้ ด้วยกรรมเล็กๆน้อยๆของท่านที่เคยไปห้ามวัวไว้ไม่ให้กินน้ำ คืออะไรเล็กๆน้อยๆที่เป็นกรรมเก่า มันสามารถตามมาเล่นงานเราได้ในทุกกรณี ถ้าหากว่ามันจะถึงเวลาให้ผลของมันนะ ไม่ใช่ว่าเรามีคุณธรรม หรือว่ามีความสว่างเจิดจ้าใดๆแล้วเนี่ย จะไปห้ามกรรมเก่าไม่ให้เผล็ดผลได้ อันนี้พอเราเตรียมใจไว้ล่วงหน้าตามจริงไว้แบบนี้นะ ก็จะไม่เป็นผู้ประมาท และก็มีความสลดสังเวชในธรรม คือมีแรงผลักดันที่จะได้ดิ้นหนีออกจากบาปชั่วทุกประการนะครับ และก็เห็นค่าของการเดินทางไปบนเส้นทางของมรรคผล และนิพพาน อย่างนี้ก็แล้วกัน ก็คือว่า หนึ่งเตรียมไจไว้ล่วงหน้าว่าเราจะเห็นอัตตามันโตขึ้นมาเป็นธรรมดา พอเห็นแล้วก็จะได้เกิดความไม่เพลินไม่หลงไปตามอัตตาแบบนั้นๆ และข้อสองก็คือว่าศึกษาดูท่านที่ไปถึงที่สุดแล้ว มีบุญมากที่สุดแล้ว ท่านก็ยังสามารถประสบเคราะห์กรรม หรือว่าถูกวิบากกรรมแต่หนหลังเล่นงานได้อย่างไร ตัวนี้แหละที่จะทำให้เราเลิกประมาทเสียได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น