ถาม : สมมติว่าเราเป็นคนที่จิตใจอยากเป็นนาย คือใช้คำไม่ถูก แล้วสมมติว่า อยากทำงานบริการสักพักหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม หรือไม่ได้ ถ้ามันไม่เข้ากับเรา
[ ดังตฤณ ]
จริงๆ แล้ว ถ้ามองกันเป็นรอบวัฏจักรของการก่อกรรม แล้วก็การรับผลของกรรม ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้ ถามว่าเป็นไปได้หรือเปล่า แต่มันจะต้องเป็นไปเลยทีเดียวแหละ เท่าที่เห็นมานะ ลองสำรวจดูก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราจะทำงานบางอย่างที่ใจชอบหรือว่าจะถูกบีบคั้นให้จำเป็นต้องทำ อย่างไรก็แล้วแต่ อย่างงานประเภทที่ว่าจะต้องไปฟังคำสั่ง หรือจะต้องไปให้การบริการ เช่น เลขานุการ แอร์โฮสเตส เป็นต้น
จริงๆ แล้ว ถ้ามองกันเป็นรอบวัฏจักรของการก่อกรรม แล้วก็การรับผลของกรรม ไม่ใช่ว่าเป็นไปได้ ถามว่าเป็นไปได้หรือเปล่า แต่มันจะต้องเป็นไปเลยทีเดียวแหละ เท่าที่เห็นมานะ ลองสำรวจดูก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราจะทำงานบางอย่างที่ใจชอบหรือว่าจะถูกบีบคั้นให้จำเป็นต้องทำ อย่างไรก็แล้วแต่ อย่างงานประเภทที่ว่าจะต้องไปฟังคำสั่ง หรือจะต้องไปให้การบริการ เช่น เลขานุการ แอร์โฮสเตส เป็นต้น
ผมของยกตัวอย่างเป็นผู้หญิงแล้วกัน เพราะมักจะมีปัญหาแบบนี้กันเยอะ ผู้หญิงหลายคนมีความรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นนาย ตัวเองมีความรู้สึกเหมือนกับ พูดเป็นคำอธิบายง่ายๆ คือ เหนือกว่าคนอื่น เหนือกว่าหลายๆ คนที่คบค้า รู้จักด้วยหรือสนิทด้วย แล้วก็มีอัตตาค่อนข้างจะแรง เหมือนนางพญาอะไรแบบนั้น แต่ทำไมจะต้องมีช่วงชีวิตที่อาจจะถูกบีบให้เข้าไปทำงานบริการ หรือว่าทำงานที่ต้องคอยรับคำสั่งคนอื่น เหมือนกับตัวเองเป็นคนใช้ อะไรแบบนั้น ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ หรือว่าถ้าจะพยายามเลี่ยง ก็รู้สึกว่า มันจะเลี่ยงไปไม่ได้ไกลสักเท่าไร หรือบางทีถึงขั้นที่รู้สึกอยากจะเข้าไปทำงานแบบนั้นเลยทีเดียว แล้วพอเข้าไป ผลก็คือเกิดความรู้สึกอึดอัดทรมาน มันเป็นความรู้สึกทรมานใจ เป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ผิดที่ผิดทาง มันจะเป็นความขัดแย้งกันลึกๆ แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีสองตัวอยู่ในคนเดียว มีคนสองคนทำงานงานหนึ่งอยู่ คนหนึ่งมีความทรมานใจ มีความรู้สึกไม่เต็มใจ มีความรู้สึกฝืน มีความรู้สึกฝืด มีความรู้สึกเหมือนกับเมื่อไรจะถึงเวลาสิ้นสุดไปสักที แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า ทำอย่างนี้แหละที่ง่ายดีหรือสบายดี หรือว่ายังไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้
ช่วงที่รู้สึกทรมานใจ ถ้าหากดูดีๆ ความรู้สึกแบบถูกกดดัน หรือถูกบังคับ หรือว่าถูกใช้เยี่ยงทาส หรือว่าถูกบังคับข่มเหงน้ำใจอะไรต่างๆ ลองทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเราดูว่า ความรู้สึกแบบนี้น่าจะเคยเกิดขึ้นกับคนอื่นโดยฝีมือของเราหรือเปล่า?
หลายคนนะครับ ไม่ได้พูดว่าทุกคน ผมพูดว่าหลายคน จะเหมือนกับระลึกได้ขึ้นมา ค่อยๆ ระลึกได้ขึ้นมา หลังจากที่เรายอมรับว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นทุกข์ และโดนกระทำแบบนี้ เหมือนกับถูกกดขี่ ถูกข่มเหง ถูกรังแกอะไรแบบนั้น
หลายคนจะทบทวนแล้วเกิดความจำได้ขึ้นมาว่า แบบนี้เราก็เคยทำกับคนอื่นเหมือนกัน !
เพียงแต่ว่าความรู้สึกไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกของผู้กระทำ ถ้าหากว่าเราทบทวนความรู้สึกจากเหตุการณ์ มันจะคล้ายๆ กัน เช่น ยื่นหน้าเข้ามาแล้วก็มีการตะคอก มีการดุว่าหรือว่ามีการใช้เสียง ใช้หน้าตา ใช้สีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุภาพหรือว่าไม่ค่อยให้เกียรติกัน ตอนที่เรารู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกข่มเหงคือ เราจะเป็นฝ่ายมอง มองไปเห็นว่าใครกำลังพูดกับเรายังไง แต่ ณ เวลาที่เราเป็นผู้กระทำ เราจะเป็นฝ่ายเห็นว่าคนรับคำสั่งหน้าตาเป็นอย่างไร มีอาการจ๋อยอย่างไร มีอาการที่หือไม่ได้อย่างไร
นี่คือลักษณะของเวลาที่กรรมเขาจะแสดงตัว !
บางทีจะมาในลักษณะนี้ จะมาในลักษณะที่ให้เราผลัดเป็นผู้กระทำกับเป็นผู้รับผลของการกระทำ
ซึ่งต่างกรรมต่างวาระ มันจะเทียบความรู้สึกกันไม่ได้เลย แต่เราจะเทียบภาพนิมิตที่เกิดขึ้นได้ จะมีความรู้สึกคุ้นว่า อันนี้คือภาพสะท้อน นี่คือกระจกเงาของกรรมที่เวลาส่งผลสะท้อนกลับมาแล้ว เราเปลี่ยนจากผู้กระทำเป็นผู้ถูกกระทำ เปลี่ยนจากผู้เห็นคนคนหนึ่งรับคำสั่งเรา เป็นเห็นคนอีกคนหนึ่งเขากระแทกคำสั่งมาถึงเรา ด้วยความรู้สึกที่มันสามารถเปลี่ยนกลับขั้วกันได้นี่แหละที่เราจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องกงกรรมกงเกวียน หรือว่าการผลัดกันเป็นผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง
หลายคนนะครับ ไม่ได้พูดว่าทุกคน ผมพูดว่าหลายคน จะเหมือนกับระลึกได้ขึ้นมา ค่อยๆ ระลึกได้ขึ้นมา หลังจากที่เรายอมรับว่าความรู้สึกแบบนี้เป็นทุกข์ และโดนกระทำแบบนี้ เหมือนกับถูกกดขี่ ถูกข่มเหง ถูกรังแกอะไรแบบนั้น
หลายคนจะทบทวนแล้วเกิดความจำได้ขึ้นมาว่า แบบนี้เราก็เคยทำกับคนอื่นเหมือนกัน !
เพียงแต่ว่าความรู้สึกไม่ใช่แบบนี้ มันไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ ตอนนั้นเป็นความรู้สึกของผู้กระทำ ถ้าหากว่าเราทบทวนความรู้สึกจากเหตุการณ์ มันจะคล้ายๆ กัน เช่น ยื่นหน้าเข้ามาแล้วก็มีการตะคอก มีการดุว่าหรือว่ามีการใช้เสียง ใช้หน้าตา ใช้สีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุภาพหรือว่าไม่ค่อยให้เกียรติกัน ตอนที่เรารู้สึกว่าเป็นฝ่ายถูกข่มเหงคือ เราจะเป็นฝ่ายมอง มองไปเห็นว่าใครกำลังพูดกับเรายังไง แต่ ณ เวลาที่เราเป็นผู้กระทำ เราจะเป็นฝ่ายเห็นว่าคนรับคำสั่งหน้าตาเป็นอย่างไร มีอาการจ๋อยอย่างไร มีอาการที่หือไม่ได้อย่างไร
นี่คือลักษณะของเวลาที่กรรมเขาจะแสดงตัว !
บางทีจะมาในลักษณะนี้ จะมาในลักษณะที่ให้เราผลัดเป็นผู้กระทำกับเป็นผู้รับผลของการกระทำ
ซึ่งต่างกรรมต่างวาระ มันจะเทียบความรู้สึกกันไม่ได้เลย แต่เราจะเทียบภาพนิมิตที่เกิดขึ้นได้ จะมีความรู้สึกคุ้นว่า อันนี้คือภาพสะท้อน นี่คือกระจกเงาของกรรมที่เวลาส่งผลสะท้อนกลับมาแล้ว เราเปลี่ยนจากผู้กระทำเป็นผู้ถูกกระทำ เปลี่ยนจากผู้เห็นคนคนหนึ่งรับคำสั่งเรา เป็นเห็นคนอีกคนหนึ่งเขากระแทกคำสั่งมาถึงเรา ด้วยความรู้สึกที่มันสามารถเปลี่ยนกลับขั้วกันได้นี่แหละที่เราจะค่อยๆ เข้าใจเรื่องกงกรรมกงเกวียน หรือว่าการผลัดกันเป็นผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ หน้าตามันเป็นแบบนี้นี่เอง
คำถามก็คือว่า เราจะทำงานแบบนี้ไปสักพักจะได้ไหม?
คำตอบก็คือ ได้นะถ้าหากว่าเราอยากจะทำจริงๆ เราอยากจะ ไม่รู้สิ ใจมีความดิ้นรนจะต้องไปเป็นอย่างนั้นให้ได้
คำตอบก็คือ ได้นะถ้าหากว่าเราอยากจะทำจริงๆ เราอยากจะ ไม่รู้สิ ใจมีความดิ้นรนจะต้องไปเป็นอย่างนั้นให้ได้
ทีนี้ไม่ใช่จะพูดไปกว้างๆ สำหรับเหตุผลนี้นะครับ แต่สำหรับบางคนอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้
สำหรับบางคนที่ถ้าจะต้องไปรับผลกรรม เหมือนกับเราเคยทำคนอื่นเขาไว้มากอย่างไรในฐานะของเจ้านาย บางครั้งบางคราวก็มีครับที่กรรมเก่าจะบีบให้อยากจะไปเป็นผู้รับผลกระทำบ้าง งานตรงนั้น ทั้งๆ ที่ใจจริงๆ บางทีอาจจะถามตัวเองแล้ว ไม่ได้อยากจะไปรับใช้ใคร แต่เหมือนกับลักษณะของงานมันยั่วยวนใจ ดึงดูดใจว่า ฉันอยากจะไปทำงานนี้จัง มันรู้สึกคลิก รู้สึกว่าน่าจะไปเป็นอย่างนี้ดูสักพักหนึ่ง
เท่าที่ผมเห็นมา พอได้เป็นสมใจก็ไม่ใช่ว่ามีความสุขนะ บางทีเราอาจจะได้เข้าไปเรียนรู้ว่า ความทุกข์อันเกิดจากงานประเภทหนึ่งๆ หน้าตามันเป็นอย่างไรให้เข็ดเสียก่อน แล้วจึงจะออกมามีความสุขกับงานแบบอื่น ที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น หรือว่ามีความเป็นนายมากกว่าที่จะเป็นคนใช้
ถ้าหากว่าเราคิดด้วยความคิดอย่างนี้นะว่า
เราจะเข้าไปทำงานบริการเพื่อที่จะถอดเอา 'นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่าง'หรือถอดเอานิสัยนางพญาออกไป หรือว่าถอดเอานิสัยเจ้านายที่กดขี่ข่มเหงคนอื่นออกไป ให้มันเสมอกันคือ หัดไปเป็นคนใช้บ้าง หัดไปเป็นผู้ให้บริการบ้าง ก็ดีเหมือนกัน เป็นการชดเชยในเรื่องที่ว่า เราเคยทำคนอื่นไว้แล้วเราไปรับผล ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำเสียบ้างด้วยความเต็มใจ
ถือว่าเป็นการใช้กรรมอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นความคิดที่ออกในทางกุศลได้นะครับ.
เราจะเข้าไปทำงานบริการเพื่อที่จะถอดเอา 'นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่าง'หรือถอดเอานิสัยนางพญาออกไป หรือว่าถอดเอานิสัยเจ้านายที่กดขี่ข่มเหงคนอื่นออกไป ให้มันเสมอกันคือ หัดไปเป็นคนใช้บ้าง หัดไปเป็นผู้ให้บริการบ้าง ก็ดีเหมือนกัน เป็นการชดเชยในเรื่องที่ว่า เราเคยทำคนอื่นไว้แล้วเราไปรับผล ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำเสียบ้างด้วยความเต็มใจ
ถือว่าเป็นการใช้กรรมอย่างหนึ่ง ถือว่าเป็นความคิดที่ออกในทางกุศลได้นะครับ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น