วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๒.๔๖ ป้องกันและแก้คุณไสยอย่างไร?

ทำอย่างไรถึงจะกันคุณไสยได้? คุณไสยจะสามารถเข้าตัวคนได้ทุกคนไหม? 

รับฟังเสียงทางยูทูปได้ที่ : http://youtu.be/ks4TGuYh29U


ดังตฤณ : คุณไสยนี่จริงๆก็เหมือนกับอารมณ์ครอบงำ คิดง่ายๆอย่างนี้แล้วกัน เอ้า!เปรียบเทียบนะ อย่างเวลาที่เราหลงใครมากๆก็ไม่ต่างกันกับโดนทำเสน่ห์ยาแฝด อาการมันจะประมาณคล้ายๆกัน ทุรนทุราย อยู่นิ่งไม่ได้ มันจะนอน จะลุก จะนั่ง มันมีแต่จินตนาการภาพคนที่เราไปติดเราไปหลงเราไปยึด ใจเรามันเข้าไปแปะอยู่ แกะไม่ออกหรือเวลาที่เราโกรธใครมากๆเกิดความพยาบาทอยากที่จะล้างแค้น มีความอาฆาตเหลือเกิน ทนไม่ได้ใจมันร้อนเหลือเกิน มันก็ไม่ต่างกับโดนคุณไสยแบบที่เขามีคุณไสยแบบนึงที่จะยุให้แตกกันหรือว่าเกลียดกันอะไรทำนองนี้

ไม่ว่าจะเป็นคุณไสยแบบดูดเข้าไปติด
หรือว่าผลักให้แตกแยกกันมันก็คือ
อาศัยกิเลสของเรานั้นแหละ
ตัวราคะนั่นแหละ
ตัวโทสะนั่นแหละ
ถ้าหากว่าไม่มีตัวราคะ ไม่มีตัวโทส
อันนั้นเป็นพระอรหันต์แล้ว
คุณไสยก็ไม่สามารถทำอะไรได้

 แต่ถ้าคนทั่วไปนี่ก็พูดตามหลักของชาวบ้าน จะเรียกอะไรดี ก็มีความเชื่อแบบหนึ่ง อย่างทางโหราศาสตร์ก็บอกว่า คนเกิดฤกษ์แบบหนึ่ง คุณไสยจะเข้าไม่ได้ ดวงแข็งอะไรแบบนั้น คือในความหมายก็ประมาณว่ากรรมเก่ามาดี รักษาศีลไว้ดี ไม่เคยทำร้าย ไม่เคยเบียดเบียนใคร ก็จะมีดวงแข็ง คือเส้นทางของชีวิตมีความแน่นอนว่ามีจะแต่ความสว่าง มีแต่ความเจริญ ยิ่งชาตินี้ถ้าหากว่ามาต่อยอดอีก มีความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แล้วก็มีแต่ความคิดดีๆต่อคนอื่น ไม่เคยคิดที่จะอยากไปเบียดเบียนใคร อย่างนี้นี่ ก็จะเหมือนมีรัศมี มีเกราะกำบัง มีเกราะแก้ว ที่จะปกป้องคุ้มตัว ไม่ให้คุณไสยเล่นงานได้ คุณไสยมาก็แพ้ คือแพ้ดวง ดวงมันจะไม่ให้ตกต่ำ ดวงมันจะไม่ให้เป็นอันตราย  พวกเล่นคุณไสยเขาถึงมีการเช็คว่าเมื่อไหร่ดวงตก เขาถึงจะทำกัน ประมาณว่ารอให้ดวงตกเสียก่อนอะไรแบบนั้น

คือเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ไม่ว่าเราจะเข้าข่ายเป็นผู้ที่จะต้องถูกเบียดเบียนเพราะเคยไปเบียดเบียนคนอื่นเขาไว้ หรือว่าเราจะมีสิทธิ์โดนคุณไสยอะไรหรือเปล่านี่ ก็ให้มองก็แล้วกันว่า

ถ้าใจของเรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ไว้เป็นหลักบ้าง เป็นที่มั่นเป็นที่ตั้งของใจ
และสวดอิติปิโสทุกๆวัน
เพื่อที่จะเตือนให้ใจไม่ลืมสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วก็รู้ว่าศักดิ์สิทธิ์มีคุณวิเศษอย่างไร
มีค่ามีความหมายกับชีวิตของเราอย่างไร

ใจที่มีความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ
พระรัตนตรัย "ด้วยความบริสุทธิ์" นั้นแหละ
ก็จะไปดึงเอากระแสพลังพุทธคุณ
ธรรมคุณ และสังฆคุณ เข้ามาปกป้องตัว
โดยไม่ต้องอัญเชิญ !

ถ้าหากว่าสวดมนต์แบบที่จะต้องไปอัญเชิญเอาพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้ามาประทับที่นั่นที่นี่ในร่างกายนี่ อันนั้นเป็นคุณไสยชนิดหนึ่งนะ เป็น "คุณไสยขาว" แต่ถ้าหากเจริญพุทธมนต์จริงๆ คือ "มีแต่การสรรเสริญ" หรือจาระไนว่าที่เป็นเทวดาได้เพราะเหตุแบบนั้น แบบนี้ ด้วยกุศลสว่างประมาณนั้นประมาณนี้ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการสวดมนต์แบบพุทธ เป็น "การเจริญพุทธมนต์แบบพุทธ" ไม่ใช่ไสยศาสตร์

การเจริญพุทธมนต์แบบพุทธ
เป็นการเรียกเอาเกราะแก้วมากำบังตัว
หรือพลังที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาเข้าตัวได้มากที่สุด ! 

เพราะว่าเจตนาที่เราสรรเสริญออกไปมีแต่เมตตาที่รินออกไป มีแต่ลักษณะของความรู้สึกเป็นสุข มีแต่ลักษณะของความรู้สึกแผ่ออกไป แผ่ออกไปให้ ไม่ใช่ดึงเอาเข้าตัว ด้วยเหตุนี้นะ ก็จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลมกลืนกับเรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนามีความกลมกลืนกับจิตของเรา เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนาจะสนับสนุนให้เราสร้างพลังคุ้มครองตัวเองด้วยเมตตา ด้วยการที่เราสรรเสริญผู้อื่น สรรเสริญผู้ควรสรรเสริญ

การสรรเสริญนี่ก็ลองนึกถึงอาการของใจตัวเองนะ
อย่างเวลาที่คุณจะอยากจะชื่นชมคนดีๆสักคน
ใจมันจะมีความรู้สึกเป็นสุขนำหน้าขึ้นมาก่อน
อยากให้คนดีๆนั้นมีชื่อเสียง
หรือว่ามีเกียรติคุณหอมหวลขจรขจายออกไป
ความรู้สึกมันก็แผ่ออก แผ่ออก 

นึกออกไหม มันมีความขาว มันมีความใส มันมีความสว่าง มันมีความรู้สึกเหมือนกับชื่นใจนำออกไป แผ่กว้างออกไป ไม่ใช่เอาเข้าตัว !

เวลาสวดอิติปิโสนี่ ‘อิติโสภควา อะระหังสัมมา…’ คนที่สวดอิติปิโสจริงๆเต็มเสียงจริงๆให้รู้สึกจิตใจมันมีความเยือกเย็น มีความแผ่ออก มีความซ่านออก ส่วนถ้าหากว่าเราจะ "สวดป้องกันตัว" "ในแบบเรียกคนโน้นคนนี้มาคุ้มครองตน" นี่นะ มันจะมีความรู้สึกเลยว่าเหมือนใจมันหุบแคบ เข้ามา เหมือนใจมันจะเอาเข้าตัว รักษาตัวจะเอาตัวรอด ลักษณะที่ใจมันปิดแคบเข้ามา หรือว่ามีความอยากจะเอาตัวรอดนี่ทำให้ก่อให้เกิดสมาธินี่ก็เป็นสมาธิแบบเข้าตัว ไม่ใช่สมาธิแบบแผ่ออกไปนี่คือความแตกต่าง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น