วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๕๓ อยากเป็นคนมุ่งมั่น ต้องฝึกอย่างไร?

 ถาม :  มีเหตุปัจจัยอะไรทั้งภายในใจเราเองและสิ่งภายนอกที่ทำให้เราเป็นคนไม่ค่อยจริงจังกับเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตและการทำงาน เหมือนจะกลายเป็นคนหยิบโหย่ง ท่าดีทีเหลวตลอด ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง จะมีวิธีตั้งจิตอย่างไรให้มีความจริงจังมุ่งมั่นมากขึ้นกว่านี้คะ?

รับฟังทางยูทูป
: http://youtu.be/8lyKqks8rbw


ดังตฤณ: 
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่าเป็นคนที่หยิบโหย่ง
ไม่ค่อยจะเอาจริงเอาจัง
หรือถูกว่าถูกตำหนิว่าท่าดีทีเหลว
ก็ขอให้มองเป็น จิตก็แล้วกัน

จิตของเรานี่ไม่พุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย
จิตของเรานี่อ้อยอิ่งอยู่ หันซ้ายหันขวา
เหลียวหน้าเหลียวหลังอยู่ที่จุดเริ่มต้น
หรือไม่ก็ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้นแป๊บๆ
เสร็จแล้วก็มีอาการแช่อิ่มอยู่
หรือไม่ก็หนักกว่านั้น ถอยกลับไปที่ก้าวแรก
แล้วก็หาทิศทางใหม่ที่จะก้าวเดินต่อ

อย่างนั้นเป็นจิตที่พูดง่ายๆ ว่ามีความซัดส่าย
ไม่มีความแน่นอน ไม่มีความพุ่งตรงไปแบบสมาธิ
เปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ
จิตของเรานี่เป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน แล้วก็คิดย้อนไปย้อนมา
แตกต่างจากคนที่ทำอะไรจริงจัง
แตกต่างจากคนที่ทำอะไรสำเร็จ
มุ่งตรงไปหาเส้นชัยตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายโดยไม่ย่อท้อ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ถ้าเราตีโจทย์เป็นจิตนี่ มันจะดูง่ายขึ้นว่าจะให้ทำยังไง
--> ก็เปลี่ยนจากลักษณะของ จิตฟุ้งซ่าน
ให้กลายเป็น จิตที่มีความเป็นสมาธินั่นเอง!

--> เปลี่ยนจาก จิตที่ไม่มีกำลัง
ที่จะก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ตามลำดับ
เป็น จิตที่มีกำลังที่จะก้าวไปอย่างคงเส้นคงวา
แล้วก็มีจังหวะจะโคนที่ไม่วอกแวก ไม่หวั่นไหว

ถ้าหากว่าเรามีวิธีอะไร
ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน
แล้วก็ในเรื่องของการเจริญสติ
เปลี่ยนลักษณะของจิตที่ซัดส่ายแกว่งไปแกว่งมา
ให้กลายเป็นจิตที่พุ่งตรงไปข้างหน้าได้
อันนั้นแหละ ก็จะเปลี่ยนลักษณะนิสัย และ
ชีวิตทั้งชีวิตของเราออกมาจากข้างในได้เลยทันทีนะครับ !

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

วิธีง่ายๆ อุบายง่ายๆ
อาจจะไม่ได้สามารถจะแอพพลาย (apply) ได้กับทุกคน
แต่โดยทั่วไปนะ ขอให้อาศัยหลักการที่ว่า

...ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ให้อาศัยกำลังของ บุญกุศลและ
แสงสว่างเป็นหลักเป็นเครื่องตั้ง แล้วจะง่าย!

คือผมไม่ได้บอก
ว่าทุกคนจะต้องมาเริ่มต้นแบบนี้กันทั้งโลก
เพราะว่าศรัทธาของคนแตกต่างกัน ถ้าหากว่าเรา..
ศรัทธาในพุทธศาสนา
ศรัทธาพระพุทธเจ้า
ศรัทธาในเรื่องของผลแห่งกรรม
ศรัทธาในเรื่องของบุญของกุศล
เราต้องฟังคำแนะนำจากทางพุทธ
ว่าเบื้องต้น ที่ใจของเราจะมีกำลังได้
:  ต้องอาศัยบุญ
:  ต้องอาศัยความสว่าง
:  ต้องอาศัยความเป็นกุศล

ไม่ใช่อาศัยบาป หรือ
อาศัยแต่ความตั้งหน้าตั้งตา ทำความเพียรอย่างเดียวนะครับ !

เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียรอย่างเดียว
บางทีมันแห้งแล้ง
จิตใจที่แห้งแล้ง มันไม่มีความชุ่มชื่นมากพอที่จะนิ่ง
พอไม่มีความชุ่มชื่นมากพอที่จะนิ่ง
มันก็กวัดแกว่ง มันก็กระสับกระส่ายไม่เป็นสมาธิ

ถ้าตีโจทย์เป็นจิตมันจะมองได้ง่ายๆอย่างนี้
ถ้าหากว่าเรามองเห็นประโยชน์ของบุญของกุศล
ว่าเป็นตัวหล่อเลี้ยงเป็นความชุ่มชื่นให้กับจิต
เป็นตัวทำให้เกิดความระงับความกระสับกระส่าย
ใจไม่วอกแวกไปไหนได้
แล้วก็จะเห็นนะครับว่าร่างกายก็จะตอบสนอง
เป็น ‘ความมีกำลัง’ ที่จะเป็นเครื่องตั้งของ ‘สมาธิจิต’ 
:  ได้ต่อๆไป
:  ได้นาน ต่อเนื่อง 
:  ไม่ล้มลุกคลุกคลานเสียก่อน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เมื่อทำความเข้าใจโดยภาพรวมแบบนี้
แล้วถามว่าบุญอันเป็นเครื่องตั้งน่ะ จะให้ทำอะไรล่ะ ?

ทำอะไรก็ได้ที่เป็นสิ่งที่เราพอใจที่จะทำ
อย่างเช่น จะใส่บาตรพระ
ง่ายๆ เลย หรือว่าจะสวดมนต์
หรือว่าจะออกไปเลี้ยงเด็กกำพร้า
เลี้ยงคนชราที่ลูกหลานทอดทิ้ง
หรือว่าจะไปปล่อยนก ปล่อยปลา
ไปวัด ไปไหว้ครูบาอาจารย์อะไรที่ไหนก็แล้วแต่นะครับ

อะไรก็แล้วแต่ที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าทำแล้วเกิดความชุ่มชื่น
ทำแล้วเกิดความปีติ ทำแล้วเกิดความสบายใจ
อันนั้นแหละ เครื่องตั้งของสมาธิ’ !

สำคัญก็คือว่า
ความชุ่มชื่นที่เราจะเอามาหล่อเลี้ยงจิตใจนั้น
:  ต้องมีความต่อเนื่อง
:  ต้องไหลมาเทมาเหมือนกับสายน้ำที่มันไม่หยุด !

ถ้าหากว่าเราทำแค่ครั้งสองครั้ง
อย่างนั้น..ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นการทำบุญ
เพื่อที่จะอุดหนุนให้จิตนี่เกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมา

เราต้องเลือกบุญอะไรบางอย่างที่มันมีความแน่นอน
มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ซ้ำๆ ทุกวันได้ยิ่งดี
และก็เห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่าการสวดมนต์
เพราะว่าบางคนอ้างว่ายังทำสมาธิไม่เก่ง
แต่ว่าเรื่องสวดมนต์นี่เป็นของง่าย เป็นของที่ทำได้กันทั้งนั้น

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

ปัญหาก็คือหลายคนสวดแล้ว
รู้สึกว่าจิตใจไม่ได้ชุ่มชื่น ไม่ได้อินไปกับบทสวด
นั่นก็เป็นเพราะว่า
:  สวดน้อยเกินไป หรือ
:  ไม่ก็สวดแบบตั้งใจมากเกินไป หรือ
:  ไม่ก็สวดแบบปล่อยใจฟุ้งซ่านซัดส่าย

ทำอย่างไรถึงจะเป็นสมาธิขึ้นมาได้นะ ?
วิธีอุบายง่ายๆ ก็คือ
ตั้งใจไว้เลยว่าจะสวดสักประมาณ ๗ จบ

เจ็ดจบนี่นะ
แต่ละจบนี่ ให้สังเกตดูเข้ามาที่อาการทางกายทางใจ

รอบแรก :
มีอาการกระสับกระส่ายแค่ไหน?
มีความฟุ้งซ่านแค่ไหน?
..มันต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ มันต้องกระสับกระส่ายแน่ๆ
มันต้องมีความรู้สึกฝืนหรือไม่อยากทำให้สำเร็จ
ไม่อยากต่อให้ครบเจ็ดจบแน่ๆ

แต่พอขึ้นรอบสอง :
เราสังเกตความแตกต่างไป
ร่างกายกับจิตใจนี่มีความสงบลงไหม ?
มีความระงับอาการกวัดแกว่งลงบ้างไหม?
ถ้าหากว่ายังไม่ระงับ ก็ไม่ต้องไปบังคับให้มันระงับ
แต่ยอมรับตามจริงไปว่ารอบสองก็ยังไม่ระงับอยู่ดี

แต่พอขึ้นรอบสามหรือรอบสี่ :
มันต้องมีแน่ๆ ความแตกต่างไป
อาการทางใจไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื่น
ไม่ว่าจะเป็นความสว่าง ไม่ว่าจะเป็นความโล่ง
ไม่ว่าจะเป็นความสงบระงับของอาการฟุ้งซ่าน
ใดๆก็แล้วแต่ที่มันเปลี่ยนแปลงไป

นั่นแหละ ตรงนั้นให้จำไว้ว่า
เออ รอบนี้นะมันแตกต่างจากรอบก่อนๆ แล้ว
ถ้าหากเราสามารถที่จะเห็นได้ทั้งเจ็ดจบ
ว่าแต่ละจบจิตมันไม่เหมือนเดิมเลยสักจบเดียว
นี่เรียกว่าเป็นการ เห็นความไม่เที่ยงของ อาการทางใจผ่านการสวดมนต์แล้ว

แล้วเกิดอะไรขึ้น ?
มันจะได้ทั้ง มีความปีตินะ
เออ เราเห็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างไป
ทั้ง ความฟุ้งซ่านที่มันลดระดับลงนะครับ

มันทำให้เกิดกำลังใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า
จิตของเรามีความสามารถที่จะลดความฟุ้งซ่านลงได้
มีความสามารถที่จะมุ่งมั่นแน่วแน่เอาให้ครบ ๗ จบอย่างมีความสุขได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

แล้วถ้าหากว่ากำลังบุญของเรามีความแน่นหนามากพอ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าทำสำเร็จ
สวดมนต์ได้ ๗ จบทุกวัน ไปสัก ๑ เดือนหรือ ๒เดือน
เราจะมีความรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมา
ว่าเราทำได้ เราทำสำเร็จ
และเราไม่ใช่คนที่เบี้ยวกับตัวเองอีกต่อไป !
เราสามารถทำบุญอะไรบางอย่าง
ที่มันเป็นหลัก ที่มันเป็นเครื่องตั้ง
ที่จะเป็นคนมีความคงเส้นคงวากับตัวเอง
รักษาสัตย์กับตัวเองได้ รักษาสัจจะกับตัวเองได้

เมื่อมีความมั่นใจในบุญที่ทำแล้ว
ต่อไปพอจะทำอะไร ตั้งใจอะไร
จิตมันจะเริ่มพุ่งตรงไปข้างหน้า
มันจะไม่มีอาการกระจัดกระจายซัดส่ายเหมือนอย่างที่ผ่านมา

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

เราจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลย
อาการของจิตที่มีความซัดส่ายนี่นะ
มันจะวนๆ วนๆ อยู่รอบๆ ตัวเองนี่แหละไม่ไปไหน
แล้วคิด มันก็คิดแบบกลับไปกลับมา ย้อนไปย้อนมา
อุตส่าห์ก้าวไปหนึ่งสองสาม
แล้วย้อนกลับมาก้าวที่สองใหม่
ย้อนกลับมาก้าวที่หนึ่งใหม่

แต่ถ้าหากว่ามีความชุ่มชื่น มีความโปร่งโล่ง
 มีความรู้สึกชัดเจนว่าเราจะทำอะไรจริงๆ
จิตใจนี่มันจะเหมือนกับเปิด เหมือนกับฟ้าเปิด
เหมือนกับทุ่งโล่งที่ไม่มีพายุซัด
เราสามารถที่จะเดินอย่างสบายๆ ไปทีละก้าวได้
แล้วเราก็ไม่รีบร้อน ไม่ได้เร่งว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที
ในขณะเดียวกันเราก็ไม่อุทธรณ์ เราก็ไม่สงสารตัวเองว่า
เออ ทำไมเราจะต้องมาลำบากลำบนแบบนี้
เพราะว่ามีความชุ่มชื่นอยู่ มีความปีติหล่อเลี้ยงใจอยู่
ว่าเรากำลังทำสิ่งก่อให้เกิดความมั่นคงทางจิตใจ

ไม่ว่าจะทางโลก ทางธรรมนะ
เราจะเห็นคุณประโยชน์ของงานเสมอนะครับ
ถ้าหากว่างานนั้นทำให้จิตใจของเรามีปีติ มีความอิ่มใจ

มีความอยากจะอยู่กับก้าวปัจจุบันได้นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น