วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๖๘ เกลียดพ่ออารมณ์ร้าย บาปไหม?

ถาม :   สมมติคุณพ่อเป็นคนอารมณ์ร้าย แล้วลูกรู้สึกไม่ชอบ มีอคติกับพ่อของตัวเองมาตลอด ถือว่าเป็นลูกที่มีความคิดอกตัญญูและบาปมากไหม? และทำยังไงลูกถึงจะเลิกความคิดแย่ๆกับพ่อของตัวเองได้?

รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/HYVDcLtof0g


ดังตฤณ: 
ถ้าคุณพ่ออารมณ์ร้ายก็ความเป็นจริงก็คืออารมณ์ร้ายอ่ะนะ ถ้าหากว่าท่านอารมณ์ร้ายจริงๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องไปหลอกตัวเอง หรือว่าไปบีบบังคับให้ตนเองมีความรู้สึกชอบใจที่คุณพ่อเป็นแบบนั้นนะ เพราะว่าความรู้สึกที่มีต่อใครเนี่ยมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ ไม่ใช่ว่าเป็นพ่อเป็นลูกเป็นญาติกัน แล้วแปลว่าจะต้องรักกันหรือว่ามีความชื่นชมนิยมในตัวนะ เพราะว่าการที่เราจะรู้สึกอย่างไรนะครับ ถ้าถอดความเป็นบุคคลออกไป ถ้าถอดฐานะต่างๆ ถอดหัวโขนออกไปมันก็เหลือแต่จิตที่รับสิ่งกระทบเข้ามาผ่านรูปนะ กระทบตาแล้วก็เสียงกระทบหู ถ้าหากว่าเราเห็นแต่ภาพที่ไม่ดี แล้วไปโกหกตัวเองว่าภาพนั้นมันดี มันน่าชอบใจ นี่แหละเค้าเรียกว่าไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ตรงตามจริง ถ้าหากว่าเราเห็นคุณพ่อเป็นคนที่โมโหร้าย เป็นคนที่มีความไม่น่าเข้าใกล้ เราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่เห็นอะไรตามจริงนะครับ แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องเกลียดพ่อ หรือว่าเราไม่จำเป็นต้องมีความคิดรังเกียจในทางที่เป็นอกุศลไปด่าหยาบๆคายๆตอบ ตรงนี้แหละที่เป็นส่วนของเรา

หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ถึงแม้ว่าคุณพ่อจะไม่ดีอย่างไร เราก็สามารถที่จะอาศัยความมีจิตเมตตาหรือว่าความมีจิตคิดกตัญญูนะ ให้อภัยท่านก็ได้ ให้อภัยในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเรารู้สึกเหมือนกับเคลียร์ โล่ง ปลอดโปร่ง ไม่มีความรู้สึกอันเป็นลบเลย ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แต่หมายความว่าเรามีความเข้าใจในฐานะลูกว่า ท่านให้กำเนิดเรามา ท่านเป็นรากของชีวิต ถ้าหากว่าเราบำรุงรากของชีวิตอย่างไร ชีวิตของเราก็มีความเจริญรุ่งเรืองหรือมีความเสื่อมทรามตามนั้น หากว่าคุณพ่ออารมณ์ร้ายแล้วเราคิดว่าเราในฐานะลูกนะ จะพยายามใช้ความเย็นของตัวเอง จะพยายามใช้ความสงบของตัวเองนะ ทำให้คุณพ่อมีความรู้สึกสงบตาม หรือว่ามีความรู้สึกเยือกเย็นลงมาบ้างสักนิดนึงก็ยังดี ในแต่ละครั้งที่ท่านอารมณ์ร้าย

นี่แค่คิดอย่างนี้นะ ว่าเราจะทำตัวเองให้เย็น ทำตัวเองให้มีความสุขสว่าง ถือว่าตอบแทนบุญคุณแล้ว คือไม่ใช่ไปแกล้งหลอกตัวเองว่าเรารู้สึกดีกับท่านที่ท่านร้ายอย่างนั้น แต่เราจะเอาความดีของเราเนี่ยไปทำให้ท่านดีขึ้น ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นบุญเป็นกุศลนะครับ เป็นสิ่งที่เราจะสามารถตอบแทนท่านได้ในฐานะของลูก ในฐานะของกิ่งก้านที่ออกดอกออกผลมาจากรากคือตัวท่านนะ เราสามารถย้อนกลับไปบำรุงท่านได้ ในธรรมชาตินะ ทั้งดอกไม้และกิ่งใบ ไม่สามารถย้อนกลับไปบำรุงรากของตัวเองได้ แต่ในความเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่สามารถจะย้อนกลับไปทำให้รากของตัวเองดีขึ้นได้ ไม่มีสัตว์ชนิดไหนที่มีความสามารถแบบมนุษย์แบบนี้อีกแล้วนะครับ

ข้อสองที่ถามว่าลูกคนนั้นรักแม่มากพยายามทำทุกอย่างให้แม่สบายใจและภูมิใจ ทำให้แม่สบายแล้วก็ภูมิใจ เลี้ยงดูให้สุขสบายแล้วก็ภูมิใจแต่ลูกเป็นคนซุ่มซ่ามเฟอะฟะถูกแม่ว่าตลอด ไม่ว่าเรื่องนั้นลูกจะทำถูกแล้วหรือยังผิดอยู่แม่ก็ยังว่ายายเฉิ่มบ้าง ยายเฟอะฟะบ้าง หรือไม่ก็เรานี่ทำอะไรบ้านนอกจริงๆ ไม่ได้เรื่องเลยนะ ไม่ว่าลูกจะทำอะไรแม่ก็ยังไม่พอใจจนลูกขาดความมั่นใจ บางครั้งโดนแม่ต่อว่านะก็พาลโกรธเล็กโกรธน้อยทั้งที่ใจรู้ว่าไม่ควรโกรธ คือ โกรธแม่มันไม่ดี ถ้าลูกอยากให้แม่เห็นว่าเค้าเป็นลูกที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ทำอะไรไม่ให้เค้าเป็นทุกข์เพราะลูกควรจะทำอย่างไร คำถามก็สรุปแล้วนะ ถ้าหากว่าถูกด่าว่าอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้วเนี่ยควรจะทำอย่างไรเพื่อให้แม่รู้สึกดี?

การที่เราจะไปเอาใจใครให้ชีวิตของเรา ทำให้ใครพอใจได้ตลอดเวลามันเป็นไปไม่ได้ อย่าไปคาดหวังเช่นนั้น แต่เราคาดหวังแค่ว่าเราจะตอบแทนเท่าที่เราจะทำได้ เท่าที่กำลังของเราจะมี อย่าไปตั้งโจทย์ให้มันผิด

ถ้าตั้งโจทย์ผิด
ชีวิตถึงขั้นที่ไม่มีทางจะเป็นสุขได้เลยสักวันเดียว!


จำไว้นะชีวิตถ้าตั้งโจทย์ผิดนะมันจะไม่มีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว แต่ถ้าหากตั้งโจทย์ไว้ถูกต้อง อย่างเช่นในกรณีนี้ ถ้าหากว่ามีความผูกพัน ผูกโยงอยู่กับคุณแม่ คุณแม่มีอิทธิพลกับชีวิตมากๆทำให้เราเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เกิดความรู้สึกว่าไม่เอาไหน ทำอะไรไม่ดี ผิดไปหมด อะไรแบบนี้นะ ถ้าหากว่าใจของเราโยงอยู่กับความเป็นอย่างนี้นะ ก็ต้องตั้งโจทย์ให้ดีๆ ว่าทำอย่างไรเราถึงจะรู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็รู้สึกว่าทั้งหมดทั้งปวงเนี่ย ก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถจะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองเป็นความหวัง หรือว่าเป็นเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงปรับความพอใจของคุณแม่ให้ดีขึ้นมาได้นะ มันเป็นไปไม่ได้ เราคิดอย่างนี้ก่อน แล้วก็ตั้งโจทย์ใหม่ว่า ถ้ามีอะไรที่เราสามารถทำให้ท่านสบายใจ เราจะทำเต็มที่ แต่ผลถ้าหากว่ามันไม่ถูกใจ มันไม่ได้ทำให้ท่านพอใจก็ไม่ต้องไปรู้สึกเสียใจ ไม่ต้องไปรู้สึกกังวล เพราะถือว่ากรรมของเราคือเจตนาของเราเนี่ยนะตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้ว ทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุดแล้ว แต่ถ้าท่านไม่มีความสุข อันนั้นมันพ้นขอบเขตความสามารถของเรา พ้นขอบเขตกรรมที่เราจะไปกระทำได้ การที่จะทำให้ท่านมีความสุขได้ด้วยกรรมใหม่ของเรา ก็อันนี้เป็นเรื่องที่จริงๆแล้วก็มีรายละเอียดเยอะแต่โดยหลักๆ โดยหลักการนะครับ ก็อยู่ตรงนี้แหละที่ว่ากรรมของเรา มโนกรรมของเราตั้งไว้อย่างไร ให้พอใจแค่ตรงนั้น เต็มที่แค่ตรงนั้น อย่าไปคาดหวังผล ให้มันต้องเกิดกับจิตกับใจของคนอื่นซึ่งเป็นอนัตตาภายนอก เราไม่สามารถควบคุมได้นะครับ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น