ถาม : การที่เราทำงานส่วนตัวในเวลาที่ไม่มีงานในสำนักงาน
บาปหรือไม่? อย่างไร?
งานส่วนตัวถ้าหากว่าเราทำงานบริษัทเสร็จนะครับ
ก็ถือว่ารับใช้บริษัทตามหน้าที่แล้วนี่นะ มันก็ไม่มีความผิดในแง่ของศีล
เพราะว่าข้อตกลงระหว่างเรากับบริษัทก็คือ ทำงานให้บริษัทเต็มที่
ทำงานให้บริษัทคุ้มค่าจ้าง
ถ้าหากจะทำอะไรที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเราในเวลาทำงานก็จริง
แต่ว่าเป็นเวลาที่เราเหมือนกับว่างแล้วนี่ ก็ไม่เป็นไร
เพราะว่ารู้ๆกันว่าไม่มีใครทำได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นไปไม่ได้นะ ก็ต้องนั่งใช้เวลาเพื่อทำเรื่องส่วนตัว
เช่นเกาหัว นั่งแคะเล็บ นั่งแต่งหน้า นั่งทำโน่นทำนี่
และการที่เราจะเอาเวลามาใช้แบบ ๕ นาที ๑๐ นาที ไปเพื่อธุรกิจการงานของเราเอง
ก็ไม่ได้ผิดอะไร
แต่หากว่าเรารู้อยู่แก่ใจว่างานยังไม่เสร็จ แล้วก็อยากจะใช้เวลาไปในงานส่วนตัว อันนี้ผมเคยเห็นกะตา หลายคนเลยที่ทำแบบนี้นะ แล้วทำแบบนี้นี่ที่เห็นชัดๆเลยนะ จะลักทำแอบทำ ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผย การที่ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผยนั่นน่ะ ตรงนั้นเป็นพิรุธที่อยู่ในใจ เป็นสิ่งที่รู้อยู่ในใจว่า เราไม่มีสิทธิ์ ไม่น่าจะทำ แต่ก็ยังฝืนทำ แต่ถ้าหากทำได้อย่างเปิดเผย แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเขาว่า เพราะเห็นคุณทำงานหลักเสร็จแล้ว อันนั้นก็แล้วไป
ส่วนใหญ่นี่ถ้าอยู่ที่บริษัทให้ถืออย่างนี้แล้วกัน ว่าเราเป็นทรัพย์สินของนายจ้าง เพราะว่าเขาจ้างเรามา เขาซื้อตัวเรามา เพื่อที่จะให้เวลาแล้วก็ให้กำลังสมองกับบริษัทอย่างเต็มที่ นี่คิดในแง่ของธรรมะนะ ถ้าหากว่าคุณไปใช้เครื่องไม้เครื่องมือของบริษัท แล้วก็ใช้เวลางานไปเพื่อส่วนตัวนี่นะ ก็เท่ากับเราลักลอบเอาทรัพย์บางส่วนที่นายจ้างเขาซื้อตัวเราไว้ มาใช้ในแบบที่นายจ้างไม่ได้รับผลตอบแทน
ถ้าหากว่าวันหนึ่งหากเราเป็นนายจ้างขึ้นมาบ้าง ก็จะเจอลูกจ้างแบบเดียวกันนั่นแหละ หรือถ้าหากว่าไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ เพราะว่าชาตินี้เราไม่ได้เป็นนายจ้างเลย ก็ไปให้ผลในชาติหน้า เกิดมานี่บริวารก็มักจะไม่ทำงานให้เราเต็มเม็ดเต็มหน่วย อะไรแบบนั้นนะครับ
คือเรื่องของกรรมวิบากบางทีมันซับซ้อน มันไม่ใช่พูดกันได้คร่าวๆแค่นี้ เพราะว่ามันมีรายละเอียด เราเบียดบังเวลาของบริษัทไปมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ที่เป็นการรับจ๊อบของเรา มันมีผลให้บริษัทเสียหายด้วยหรือเปล่า เพราะว่าบางทีนี่ หลายคนนะที่รับจ๊อบ แบบที่ไปทำให้คู่แข่ง หรือว่ามันไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง แต่ว่าบริษัทนี่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียรายได้ อันเกิดจากการที่เราใช้เวลาของบริษัทไปทำประโยชน์เพื่อตัวเองนะครับ
แต่หากว่าเรารู้อยู่แก่ใจว่างานยังไม่เสร็จ แล้วก็อยากจะใช้เวลาไปในงานส่วนตัว อันนี้ผมเคยเห็นกะตา หลายคนเลยที่ทำแบบนี้นะ แล้วทำแบบนี้นี่ที่เห็นชัดๆเลยนะ จะลักทำแอบทำ ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผย การที่ไม่มีความสบายใจที่จะทำอย่างเปิดเผยนั่นน่ะ ตรงนั้นเป็นพิรุธที่อยู่ในใจ เป็นสิ่งที่รู้อยู่ในใจว่า เราไม่มีสิทธิ์ ไม่น่าจะทำ แต่ก็ยังฝืนทำ แต่ถ้าหากทำได้อย่างเปิดเผย แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเขาว่า เพราะเห็นคุณทำงานหลักเสร็จแล้ว อันนั้นก็แล้วไป
ส่วนใหญ่นี่ถ้าอยู่ที่บริษัทให้ถืออย่างนี้แล้วกัน ว่าเราเป็นทรัพย์สินของนายจ้าง เพราะว่าเขาจ้างเรามา เขาซื้อตัวเรามา เพื่อที่จะให้เวลาแล้วก็ให้กำลังสมองกับบริษัทอย่างเต็มที่ นี่คิดในแง่ของธรรมะนะ ถ้าหากว่าคุณไปใช้เครื่องไม้เครื่องมือของบริษัท แล้วก็ใช้เวลางานไปเพื่อส่วนตัวนี่นะ ก็เท่ากับเราลักลอบเอาทรัพย์บางส่วนที่นายจ้างเขาซื้อตัวเราไว้ มาใช้ในแบบที่นายจ้างไม่ได้รับผลตอบแทน
ถ้าหากว่าวันหนึ่งหากเราเป็นนายจ้างขึ้นมาบ้าง ก็จะเจอลูกจ้างแบบเดียวกันนั่นแหละ หรือถ้าหากว่าไม่ได้ให้ผลในชาตินี้ เพราะว่าชาตินี้เราไม่ได้เป็นนายจ้างเลย ก็ไปให้ผลในชาติหน้า เกิดมานี่บริวารก็มักจะไม่ทำงานให้เราเต็มเม็ดเต็มหน่วย อะไรแบบนั้นนะครับ
คือเรื่องของกรรมวิบากบางทีมันซับซ้อน มันไม่ใช่พูดกันได้คร่าวๆแค่นี้ เพราะว่ามันมีรายละเอียด เราเบียดบังเวลาของบริษัทไปมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ที่เป็นการรับจ๊อบของเรา มันมีผลให้บริษัทเสียหายด้วยหรือเปล่า เพราะว่าบางทีนี่ หลายคนนะที่รับจ๊อบ แบบที่ไปทำให้คู่แข่ง หรือว่ามันไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง แต่ว่าบริษัทนี่มีสิทธิ์ที่จะสูญเสียรายได้ อันเกิดจากการที่เราใช้เวลาของบริษัทไปทำประโยชน์เพื่อตัวเองนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น