ถาม : มีลางสังหรณ์มาตั้งแต่ยังเด็ก
แต่ไม่ทราบและไม่เคยสนใจ มีมาตลอดจนอายุ ๓๐ ปี เริ่มมีมากขึ้น จนถึงปัจจุบันก็ ๓๙
ปีแล้ว พยายามไม่อยากรับรู้ ไม่เชื่อ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คนรอบตัว
หรือแม้แต่กับคนทั้งประเทศล้วนแต่เป็นจริงเสมอ
พยายามเจริญสติมุ่งหน้าในทางพุทธศาสนา ไม่สนใจสิ่งนี้
แต่มันก็เหมือนจะมารบกวนตลอดเวลา ทั้งที่เป็นคนที่รู้จิตตัวเองและจิตคนอื่น
โดยที่ไม่อยากรับรู้และไม่อยากฟุ้งซ่าน
อยากทราบว่าจะทำอย่างไรให้สิ่งนี้ไม่มารบกวนจิตใจ?
ดังตฤณ :
อะไรก็แล้วแต่ที่มันปรากฏขึ้นเป็นปกติ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้ต้องการ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ฝึกหัด ขอให้จำไว้เป็นคีย์เวิร์ดเลยนะ นั่นคือตัวเรา นั่นคือสิ่งที่มันปรุงประกอบขึ้นเป็นตัวเรา ทำให้เราเชื่อว่านั่นคือตัวของเรา
อะไรก็แล้วแต่ที่มันปรากฏขึ้นเป็นปกติ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ได้ต้องการ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ฝึกหัด ขอให้จำไว้เป็นคีย์เวิร์ดเลยนะ นั่นคือตัวเรา นั่นคือสิ่งที่มันปรุงประกอบขึ้นเป็นตัวเรา ทำให้เราเชื่อว่านั่นคือตัวของเรา
ถ้าหากว่าเราอยากจะเอาภาวะที่เกิดขึ้นเป็นปกติมาใช้ประโยชน์
ก็อย่าพยายามไปฝืนมัน อย่าพยายามไปเออออห่อหมกตามมัน
แล้วก็อย่าไปพยายามที่จะทำให้มันผิดเพี้ยนผิดปกติ ไปห้าม ไปส่งเสริมอะไรทั้งนั้น
คือทั้ง ไม่ต้อนรับและไม่ขับไล่ แต่ให้เห็นว่ามันปรุงแต่งขึ้นเอง
เป็นสิ่งปรุงแต่งจิตเหมือนๆกันหมดนั้นแหละ ไม่ว่าจะวิเศษ ไม่ว่าจะดูดี ดูเด่น
หรือเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างไร มีความเหมือนกับคนธรรมดาอย่างหนึ่งก็คือ
สิ่งนั้นมันล่อให้เราหลง ติด ยึด ว่าเป็นตัวของเรา เมื่อไรที่เราเข้าไปหลง
เข้าไปยึดว่าภาวะใดภาวะหนึ่งที่มันปรุงประกอบจิตเป็นตัวเป็นตนเข้าแล้ว
ก็อยู่ในวังวนทุกข์เท่ากันหมด
การที่เราจะไปพยายามปฏิเสธ แล้วมันก็ยังมาอีก ก็แสดงว่าการปฏิเสธนั้นสูญเปล่า ไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าเรายอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้น ในทางโลกอาจจะใช้ประโยชน์ เอาไปบอกใคร เอาไปแนะนำใคร หรือว่าเอาไปทำให้ใครเกิดความรู้สึกขึ้นว่า เออ! เรื่องของการสื่อทางจิต เรื่องการเห็น เรื่องอะไรนี่ มันเป็นของจริง มันมีจริง ก็ดีเหมือนกัน
แต่ในส่วนตัวของเราเพื่อจะทำประโยชน์ให้กับตนเองก็คือ ให้พิจารณาว่า สิ่งปรุงประกอบจิตเหล่านั้นมันเป็นของที่ไม่ได้เชื้อเชิญก็มาเอง แล้วก็ไปเองด้วย สังเกตไหมมันไม่ใช่ทุกครั้งนะที่เราจะรู้อะไร บางทีตั้งใจรู้มันก็ไม่รู้ ถ้าหากว่าวิบากกรรมเขาวางแผนมาให้เราได้รู้อะไร ต่อให้ไม่อยากรู้มันก็รู้ แต่ถ้าวิบากกรรมเขาวางแผนปิดกั้นไม่ให้ได้รู้ ต่อให้พยายามที่จะรู้ ต่อให้พยายามที่จะเจาะกำแพงความไม่รู้ มันก็รู้ไม่ได้ นี่แหละที่เรียกว่า อนัตตา จะเอาให้ได้อย่างใจ บังคับให้ได้อย่างใจ ไม่ว่าจะให้มาหรือให้ไปนี่ มันไม่สำเร็จหรอก
แต่เราดูให้เป็นอนัตตาน่ะมันได้ เราดูให้เป็นของที่มีพฤติกรรมเหมือนกับสภาวะทั้งหลายคือไม่เที่ยง เอาแน่เอานอนไม่ได้ อย่างนี้ได้ ดูโดยความเป็นของไม่เที่ยงดูโดยความเป็นอนัตตานี่ จะเกิดประโยชน์กับเราเอง และหากว่าเราดูเป็น ก็สามารถเอาไปแนะนำต่อให้คนอื่น ที่เขาเกิดความทึ่งในตัวเรา หรือว่าเกิดความรู้สึกดีกับตัวเรา ได้พลอยรู้ตาม ได้พลอยมีความเลื่อมใสว่าสิ่งที่พระพุทธศาสนากล่าวไว้นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ของหลอก
สมัยพุทธกาลนี่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เผยแผ่พระสัทธรรมให้พระพุทธเจ้า ได้ก็ง่ายๆโดยอาศัยการมีความสามารถในการดักใจคน ดักได้จริงๆนะ เรียกว่าดักได้เป็นคำๆในหัว ไม่ใช่คำเฉพาะที่กำลังปรากฏอยู่ในหัวขณะนี้ที่กำลังพูดคุยกัน คำที่เคยผ่านเลยมาแล้วเป็นสิบๆปี เจ้าตัวลืมไปแล้ว ยังอุตสาห์ดักเอามาทักได้อีก นี่เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทำให้คนเข้ามาเลื่อมใส เข้ามาศรัทธาในพุทธศาสนา เข้ามาฟังหลักการที่จะรู้ความจริงทางกายทางใจได้ในเวลาอันรวดเร็วนะครับ แต่ก่อนอื่นคือ ต้องไม่ลืมที่จะทำประโยชน์ตนให้ได้ก่อนใครเพื่อนเลย ก่อนที่จะหยิบยื่นประโยชน์ให้กับคนในโลก เราจะต้องเป็นคนแรกที่ได้ประโยชน์นั้นก่อน จึงจะเอาประโยชน์ไปมอบให้คนอื่นได้จริงๆ
การที่เราจะไปพยายามปฏิเสธ แล้วมันก็ยังมาอีก ก็แสดงว่าการปฏิเสธนั้นสูญเปล่า ไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากว่าเรายอมรับตามจริงว่ามันเกิดขึ้น ในทางโลกอาจจะใช้ประโยชน์ เอาไปบอกใคร เอาไปแนะนำใคร หรือว่าเอาไปทำให้ใครเกิดความรู้สึกขึ้นว่า เออ! เรื่องของการสื่อทางจิต เรื่องการเห็น เรื่องอะไรนี่ มันเป็นของจริง มันมีจริง ก็ดีเหมือนกัน
แต่ในส่วนตัวของเราเพื่อจะทำประโยชน์ให้กับตนเองก็คือ ให้พิจารณาว่า สิ่งปรุงประกอบจิตเหล่านั้นมันเป็นของที่ไม่ได้เชื้อเชิญก็มาเอง แล้วก็ไปเองด้วย สังเกตไหมมันไม่ใช่ทุกครั้งนะที่เราจะรู้อะไร บางทีตั้งใจรู้มันก็ไม่รู้ ถ้าหากว่าวิบากกรรมเขาวางแผนมาให้เราได้รู้อะไร ต่อให้ไม่อยากรู้มันก็รู้ แต่ถ้าวิบากกรรมเขาวางแผนปิดกั้นไม่ให้ได้รู้ ต่อให้พยายามที่จะรู้ ต่อให้พยายามที่จะเจาะกำแพงความไม่รู้ มันก็รู้ไม่ได้ นี่แหละที่เรียกว่า อนัตตา จะเอาให้ได้อย่างใจ บังคับให้ได้อย่างใจ ไม่ว่าจะให้มาหรือให้ไปนี่ มันไม่สำเร็จหรอก
แต่เราดูให้เป็นอนัตตาน่ะมันได้ เราดูให้เป็นของที่มีพฤติกรรมเหมือนกับสภาวะทั้งหลายคือไม่เที่ยง เอาแน่เอานอนไม่ได้ อย่างนี้ได้ ดูโดยความเป็นของไม่เที่ยงดูโดยความเป็นอนัตตานี่ จะเกิดประโยชน์กับเราเอง และหากว่าเราดูเป็น ก็สามารถเอาไปแนะนำต่อให้คนอื่น ที่เขาเกิดความทึ่งในตัวเรา หรือว่าเกิดความรู้สึกดีกับตัวเรา ได้พลอยรู้ตาม ได้พลอยมีความเลื่อมใสว่าสิ่งที่พระพุทธศาสนากล่าวไว้นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ของหลอก
สมัยพุทธกาลนี่ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เผยแผ่พระสัทธรรมให้พระพุทธเจ้า ได้ก็ง่ายๆโดยอาศัยการมีความสามารถในการดักใจคน ดักได้จริงๆนะ เรียกว่าดักได้เป็นคำๆในหัว ไม่ใช่คำเฉพาะที่กำลังปรากฏอยู่ในหัวขณะนี้ที่กำลังพูดคุยกัน คำที่เคยผ่านเลยมาแล้วเป็นสิบๆปี เจ้าตัวลืมไปแล้ว ยังอุตสาห์ดักเอามาทักได้อีก นี่เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทำให้คนเข้ามาเลื่อมใส เข้ามาศรัทธาในพุทธศาสนา เข้ามาฟังหลักการที่จะรู้ความจริงทางกายทางใจได้ในเวลาอันรวดเร็วนะครับ แต่ก่อนอื่นคือ ต้องไม่ลืมที่จะทำประโยชน์ตนให้ได้ก่อนใครเพื่อนเลย ก่อนที่จะหยิบยื่นประโยชน์ให้กับคนในโลก เราจะต้องเป็นคนแรกที่ได้ประโยชน์นั้นก่อน จึงจะเอาประโยชน์ไปมอบให้คนอื่นได้จริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น