ถาม : การปล่อยวาง
การไม่คิดถึงสิ่งที่ทุกข์ หรือคิดถึงความทุกข์ให้น้อยที่สุด
เราต้องเริ่มจากอะไรก่อน และทำยังไงให้คิดถึงเรื่องทุกข์น้อยที่สุด?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/M4HsUfx16f8
ดังตฤณ:
ความทุกข์ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นทุกข์อย่างหนักนะ
ก็ขอให้มองว่า ใจเนี่ยมันยึดเรื่องนั้นๆอย่างเหนียวแน่น
คือพุทธศาสนาชี้เข้ามาที่ ‘อาการของใจ’ เป็นสำคัญเลย
ว่าจะยึดหรือไม่ยึด
ถ้าหากว่ายังยึดอยู่ ท่านเรียกว่ามีอุปาทาน
อุปาทานในความหมายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
คือ ‘สำคัญผิด’ ซึ่งมันก็เป็นความสำคัญผิดจริงๆ
แต่โดยอาการของใจ
โดยศัพท์ของอุปาทานที่ใช้ในพุทธศาสนาเนี่ย
หมายถึง ‘อาการยึดมั่นถือมั่น หลงยึดมั่นถือมั่นแบบสำคัญผิด’
นึกว่าอะไรนั้นเนี่ยมันเป็นของๆตัว
อะไรนั้นมันเกี่ยวข้องกับตน ด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ลักษณะของจิตที่มันกำอะไรอย่างหนึ่งแน่น
ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งที่มันไม่น่าชอบใจ
มันเป็นสิ่งที่น่าขัดเคือง
ยึดเข้าแล้วมันมีแต่ความทุกข์นะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เป็นทุกข์อย่างหนักนะ
ก็ขอให้มองว่า ใจเนี่ยมันยึดเรื่องนั้นๆอย่างเหนียวแน่น
คือพุทธศาสนาชี้เข้ามาที่ ‘อาการของใจ’ เป็นสำคัญเลย
ว่าจะยึดหรือไม่ยึด
ถ้าหากว่ายังยึดอยู่ ท่านเรียกว่ามีอุปาทาน
อุปาทานในความหมายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
คือ ‘สำคัญผิด’ ซึ่งมันก็เป็นความสำคัญผิดจริงๆ
แต่โดยอาการของใจ
โดยศัพท์ของอุปาทานที่ใช้ในพุทธศาสนาเนี่ย
หมายถึง ‘อาการยึดมั่นถือมั่น หลงยึดมั่นถือมั่นแบบสำคัญผิด’
นึกว่าอะไรนั้นเนี่ยมันเป็นของๆตัว
อะไรนั้นมันเกี่ยวข้องกับตน ด้วยความยึดมั่นถือมั่น
ลักษณะของจิตที่มันกำอะไรอย่างหนึ่งแน่น
ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นสิ่งที่มันไม่น่าชอบใจ
มันเป็นสิ่งที่น่าขัดเคือง
ยึดเข้าแล้วมันมีแต่ความทุกข์นะ
ส่วนถ้าหากว่าเรายึดสิ่งที่น่าพอใจ
บุคคลอันเป็นที่รัก หรือว่าข้าวของอันถูกอกถูกใจ
อย่างนี้ยึดแล้วดูเหมือนกับว่ามีความสุข
แต่ว่าเป็นความสุขในแบบที่
จะเป็นเชื้อของความทุกข์เมื่อต้องพรากจาก
เพราะว่าพุทธศาสนานะครับบอกว่า
ทุกข์อันดับต้นๆ ทุกข์อันดับหนึ่งนะ
ก็คงไม่พ้นจากการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
หรือว่าสัตว์เลี้ยง หรือว่าสิ่งของที่เราพิศวาสมาก
ยิ่งพิศวาสเท่าไหร่
ยิ่งมีต้นเหตุยิ่งมีเชื้อของความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น
ทวีเป็นเงาตามตัวนะ
พูดง่ายว่าๆ รักมากก็ยึดมาก
ยึดมากก็เป็นต้นเหตุของทุกข์มากนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าหากว่าเรามองนะอาการของใจ
ว่ามันยึดมั่นถือมั่นมาก แล้วมีความทุกข์มากอย่างนี้
ด้วยความเข้าใจอย่างนี้นะ แล้วเล็งไปที่อาการของจิต
เราจะเห็นว่าตราบใดที่ใจมันยังมีอาการยึดอยู่
ตราบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราจะไม่คิดถึงสิ่งที่เรากำลังยึดนะ
สิ่งนั้นเนี่ยอย่างไรๆก็ต้องผลิตความคิดขึ้นมา
คือตัวการยึดสิ่งนั้นเนี่ย
อย่างไรนะครับก็ต้องผลิตความรู้สึก
จะเป็นสุข จะเป็นทุกข์
หรือว่าจะเป็นความคิดแย่ๆ หรือเป็นความคิดดีๆ
อะไรก็แล้วแต่ มันจะยืนพื้นอยู่บนสิ่งที่เรายึดไว้นั้นนะ
อย่างเช่น ถ้าหากว่าข้าวของแตกพังไป
แล้วเรายังมีใจที่ยึดอยู่กับข้าวของนั้น
ยังไงๆนะ ความคิดมันก็ต้องออกมาว่า
เสียดายจัง โธ่เอ๊ย เนี่ยถ้าหากว่าไม่มีใครไปปัดตก
ถ้าตอนนั้นเอาขึ้นที่สูงกว่านี้นะ
มันจะมีสมมุติขึ้นมาสารพัด
แล้วก็เสียดายอดีต
เสียดายที่ไม่อย่างนั้น เสียดายที่ไม่อย่างนี้นะ
แล้วยิ่งเกิดความเสียดาย แล้วก็ไปสมมุติมากเท่าไหร่
มันก็ยิ่งมีอาการเพ้อนะ
ยิ่งมีอาการเหมือนจะคลุ้มคลั่ง
มีอาการเหมือนกับว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปให้ได้
เนี่ยตัวนี้เขาเรียกว่าเป็น ‘ทุกข์ต่อทุกข์’ นะ
พอจินตนาการขึ้นมาถึงสิ่งที่มันล่วงไปแล้ว
หรือว่าไปพยายามไปสมมุติในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เนี่ย
ใจมันก็ยิ่งมีความกระสับกระส่าย มีความเร่าร้อน
มีความรู้สึกว่า เออ! มันไม่สามารถจะถอนออกไปได้
เพราะว่าเหมือนกับอาการของจิตเนี่ยนะ อาการของใจเนี่ย
แทนที่มันจะค่อยๆคลายออกมาตามเวลาที่ผ่านไป
มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งคิดมันยิ่งไปผูกพัน
ยิ่งไปกำให้มันแน่นขึ้น
จากเดิมที่สมมุติว่า กำแน่นอยู่ ๕
ยิ่งคิดขึ้นมามากเท่าไหร่นะ
มันก็กลายเป็น กำ ๖ กำ ๗ กำ ๘ กำ ๙
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งนะ กำ ๑๐ เนี่ย กำเต็มที่
กำแบบไม่มีช่องว่าง ไม่มีโอกาสให้ปล่อยออกมาเลยเนี่ย
เราก็จะรู้สึกถึงนะความยึดมั่นเหนียวแน่น
จนเกินกว่าจะถอดถอนออกมาได้
ถึงตรงนั้นเนี่ย เรามาถามหาวิธีเนี่ย
ดูเหมือนกับว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
บุคคลอันเป็นที่รัก หรือว่าข้าวของอันถูกอกถูกใจ
อย่างนี้ยึดแล้วดูเหมือนกับว่ามีความสุข
แต่ว่าเป็นความสุขในแบบที่
จะเป็นเชื้อของความทุกข์เมื่อต้องพรากจาก
เพราะว่าพุทธศาสนานะครับบอกว่า
ทุกข์อันดับต้นๆ ทุกข์อันดับหนึ่งนะ
ก็คงไม่พ้นจากการพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก
หรือว่าสัตว์เลี้ยง หรือว่าสิ่งของที่เราพิศวาสมาก
ยิ่งพิศวาสเท่าไหร่
ยิ่งมีต้นเหตุยิ่งมีเชื้อของความทุกข์มากขึ้นเท่านั้น
ทวีเป็นเงาตามตัวนะ
พูดง่ายว่าๆ รักมากก็ยึดมาก
ยึดมากก็เป็นต้นเหตุของทุกข์มากนะครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ถ้าหากว่าเรามองนะอาการของใจ
ว่ามันยึดมั่นถือมั่นมาก แล้วมีความทุกข์มากอย่างนี้
ด้วยความเข้าใจอย่างนี้นะ แล้วเล็งไปที่อาการของจิต
เราจะเห็นว่าตราบใดที่ใจมันยังมีอาการยึดอยู่
ตราบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย
ที่เราจะไม่คิดถึงสิ่งที่เรากำลังยึดนะ
สิ่งนั้นเนี่ยอย่างไรๆก็ต้องผลิตความคิดขึ้นมา
คือตัวการยึดสิ่งนั้นเนี่ย
อย่างไรนะครับก็ต้องผลิตความรู้สึก
จะเป็นสุข จะเป็นทุกข์
หรือว่าจะเป็นความคิดแย่ๆ หรือเป็นความคิดดีๆ
อะไรก็แล้วแต่ มันจะยืนพื้นอยู่บนสิ่งที่เรายึดไว้นั้นนะ
อย่างเช่น ถ้าหากว่าข้าวของแตกพังไป
แล้วเรายังมีใจที่ยึดอยู่กับข้าวของนั้น
ยังไงๆนะ ความคิดมันก็ต้องออกมาว่า
เสียดายจัง โธ่เอ๊ย เนี่ยถ้าหากว่าไม่มีใครไปปัดตก
ถ้าตอนนั้นเอาขึ้นที่สูงกว่านี้นะ
มันจะมีสมมุติขึ้นมาสารพัด
แล้วก็เสียดายอดีต
เสียดายที่ไม่อย่างนั้น เสียดายที่ไม่อย่างนี้นะ
แล้วยิ่งเกิดความเสียดาย แล้วก็ไปสมมุติมากเท่าไหร่
มันก็ยิ่งมีอาการเพ้อนะ
ยิ่งมีอาการเหมือนจะคลุ้มคลั่ง
มีอาการเหมือนกับว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปให้ได้
เนี่ยตัวนี้เขาเรียกว่าเป็น ‘ทุกข์ต่อทุกข์’ นะ
พอจินตนาการขึ้นมาถึงสิ่งที่มันล่วงไปแล้ว
หรือว่าไปพยายามไปสมมุติในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้เนี่ย
ใจมันก็ยิ่งมีความกระสับกระส่าย มีความเร่าร้อน
มีความรู้สึกว่า เออ! มันไม่สามารถจะถอนออกไปได้
เพราะว่าเหมือนกับอาการของจิตเนี่ยนะ อาการของใจเนี่ย
แทนที่มันจะค่อยๆคลายออกมาตามเวลาที่ผ่านไป
มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งคิดมันยิ่งไปผูกพัน
ยิ่งไปกำให้มันแน่นขึ้น
จากเดิมที่สมมุติว่า กำแน่นอยู่ ๕
ยิ่งคิดขึ้นมามากเท่าไหร่นะ
มันก็กลายเป็น กำ ๖ กำ ๗ กำ ๘ กำ ๙
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งนะ กำ ๑๐ เนี่ย กำเต็มที่
กำแบบไม่มีช่องว่าง ไม่มีโอกาสให้ปล่อยออกมาเลยเนี่ย
เราก็จะรู้สึกถึงนะความยึดมั่นเหนียวแน่น
จนเกินกว่าจะถอดถอนออกมาได้
ถึงตรงนั้นเนี่ย เรามาถามหาวิธีเนี่ย
ดูเหมือนกับว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
เอาล่ะ
แต่ถ้าหากว่าดูจากหลักการเจริญสติ
ของพุทธศาสนาว่าท่านให้ทำอย่างไรนะครับ
ก่อนอื่นเลย เราทำความเข้าใจง่ายๆนะว่า
ทุกข์ หรือว่าอาการที่มันมีความกระสับกระส่าย
มีความร้อน มีความไม่สามารถที่จะอยู่เย็นได้ของจิตเนี่ยนะ
เป็นเพราะว่า ยึดเปล่าๆ
แล้วเกิดความรู้สึกว่า มันทุกข์ไปเปล่าๆ
ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
อันนี้คือทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนนะครับ
ผู้ถามถามถึงว่า ต้องเริ่มจากอะไร?
ต้องเริ่มจากความเข้าใจ
เพราะว่าหากไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตแล้วเนี่ย
มันก็จะไม่มีลำดับการปฏิบัตินะที่จะถูกฝาถูกตัว
ส่วนใหญ่จะไปเริ่มกันจากอุบายนะ
ให้คิดอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้
ซึ่งมันเป็นการเหมือนกับปลอบประโลมเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ถ้าหากว่าเราทำความเข้าใจว่า
ทั้งหลายทั้งปวงมันมีแค่ ‘จิตยึด’ กับ ‘จิตปล่อย’
มีอยู่แค่ ๒ อย่างนี้นะ
เราก็จะได้หลักการปฏิบัติ
แนวทางการปฏิบัติที่เป็นสากล
ใช้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือนะ !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หลังจากที่เราเข้าใจได้แล้วว่า
จิตมีแต่ ‘ยึดกับปล่อย’
เราก็ตั้งคำถาม ตั้งโจทย์ว่า
ทำอย่างไรจิตมันถึงจะมีอาการปล่อย มีอาการคลาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘อนิจจสัญญา’ หรือว่า ‘ความเห็นว่าไม่เที่ยง’
สามารถครอบงำความสุข ความทุกข์ทั้งปวง
หรือแม้กระทั่งอุปาทานสำคัญมั่นหมายผิดๆนะ
คือพูดง่ายๆว่าอาการยึดมั่นถือมั่นเนี่ย
มันจะสู้อาการเห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ !
ถ้าจิตเห็นอยู่
ถ้าจิตจดจ่อเห็นความไม่เที่ยงไม่เท่าเดิม
ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็แล้วแต่นะ
ไอ้อะไรอย่างนั้นเนี่ยมันจะคลายออก
ของพุทธศาสนาว่าท่านให้ทำอย่างไรนะครับ
ก่อนอื่นเลย เราทำความเข้าใจง่ายๆนะว่า
ทุกข์ หรือว่าอาการที่มันมีความกระสับกระส่าย
มีความร้อน มีความไม่สามารถที่จะอยู่เย็นได้ของจิตเนี่ยนะ
เป็นเพราะว่า ยึดเปล่าๆ
แล้วเกิดความรู้สึกว่า มันทุกข์ไปเปล่าๆ
ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
อันนี้คือทำความเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนนะครับ
ผู้ถามถามถึงว่า ต้องเริ่มจากอะไร?
ต้องเริ่มจากความเข้าใจ
เพราะว่าหากไม่เข้าใจธรรมชาติของจิตแล้วเนี่ย
มันก็จะไม่มีลำดับการปฏิบัตินะที่จะถูกฝาถูกตัว
ส่วนใหญ่จะไปเริ่มกันจากอุบายนะ
ให้คิดอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้
ซึ่งมันเป็นการเหมือนกับปลอบประโลมเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
แต่ถ้าหากว่าเราทำความเข้าใจว่า
ทั้งหลายทั้งปวงมันมีแค่ ‘จิตยึด’ กับ ‘จิตปล่อย’
มีอยู่แค่ ๒ อย่างนี้นะ
เราก็จะได้หลักการปฏิบัติ
แนวทางการปฏิบัติที่เป็นสากล
ใช้ได้ตลอดชีวิตที่เหลือนะ !
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
หลังจากที่เราเข้าใจได้แล้วว่า
จิตมีแต่ ‘ยึดกับปล่อย’
เราก็ตั้งคำถาม ตั้งโจทย์ว่า
ทำอย่างไรจิตมันถึงจะมีอาการปล่อย มีอาการคลาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
‘อนิจจสัญญา’ หรือว่า ‘ความเห็นว่าไม่เที่ยง’
สามารถครอบงำความสุข ความทุกข์ทั้งปวง
หรือแม้กระทั่งอุปาทานสำคัญมั่นหมายผิดๆนะ
คือพูดง่ายๆว่าอาการยึดมั่นถือมั่นเนี่ย
มันจะสู้อาการเห็นความไม่เที่ยงไม่ได้ !
ถ้าจิตเห็นอยู่
ถ้าจิตจดจ่อเห็นความไม่เที่ยงไม่เท่าเดิม
ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็แล้วแต่นะ
ไอ้อะไรอย่างนั้นเนี่ยมันจะคลายออก
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราสังเกตอยู่ว่า
เรามีความทุกข์ เรามีความอึดอัดในนาทีนี้
สมมุติว่าบอกตัวเองว่า ยึดมาก ทุกข์มาก
ลองสังเกตว่านาทีต่อไปนะ คือนึกขึ้นมาเล่นๆ
ดูเล่นๆว่า
..มันยึดเท่าเดิม มันทุกข์เท่าเดิม ?
..หรือว่ามันน้อยลง ?
การที่เราค่อยๆเห็นไปทีละนิด ทีละนิดนะ
สังเกตเข้ามาว่าอาการยึด อาการแน่น อาการเค้น
อาการเหมือนกับโศกเศร้า อยากคร่ำครวญ
หรือว่าอยากที่จะรินน้ำตาออกมาเนี่ย
มันมีไม่เท่าเดิมในแต่ละนาที
เราจะค่อยๆเกิดปัญญา
ตัวปัญญาที่เห็นว่ามันไม่เที่ยงเนี่ยนะ
จะทำให้จิตเกิดอาการคลาย
คือมันจะรู้ขึ้นมาเองว่ากำ
กำอยู่เหมือนมือกำอะไรเปล่าๆเนี่ยนะ
เป็นอาการอย่างหนึ่ง
แล้วพอกำไปแล้ว เออ!ไอ้ของที่กำอยู่มันไม่เที่ยงเนี่ย
มันเหมือนกับกำก้อนอะไรที่มันเปลี่ยนรูปได้
เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วจะกำไปทำไม
มันก็จะมีอาการเหมือนกับปล่อยมือ
คลายมือออกมาตามธรรมชาติ
ธรรมดาของจิตที่ฉลาดขึ้นนะครับ
อันนี้ก็ขอให้ลองดูก็แล้วกัน แค่ลอง แค่นี้แหละ
สังเกตความยึดนะ ว่ามันมากหรือว่ามันน้อย
ถ้าสังเกตเป็นนาทีได้
ก็สามารถจะสังเกตเป็นลมหายใจได้
แต่ละลมหายใจเนี่ย ความยึดไม่เท่ากันนะครับ
เรามีความทุกข์ เรามีความอึดอัดในนาทีนี้
สมมุติว่าบอกตัวเองว่า ยึดมาก ทุกข์มาก
ลองสังเกตว่านาทีต่อไปนะ คือนึกขึ้นมาเล่นๆ
ดูเล่นๆว่า
..มันยึดเท่าเดิม มันทุกข์เท่าเดิม ?
..หรือว่ามันน้อยลง ?
การที่เราค่อยๆเห็นไปทีละนิด ทีละนิดนะ
สังเกตเข้ามาว่าอาการยึด อาการแน่น อาการเค้น
อาการเหมือนกับโศกเศร้า อยากคร่ำครวญ
หรือว่าอยากที่จะรินน้ำตาออกมาเนี่ย
มันมีไม่เท่าเดิมในแต่ละนาที
เราจะค่อยๆเกิดปัญญา
ตัวปัญญาที่เห็นว่ามันไม่เที่ยงเนี่ยนะ
จะทำให้จิตเกิดอาการคลาย
คือมันจะรู้ขึ้นมาเองว่ากำ
กำอยู่เหมือนมือกำอะไรเปล่าๆเนี่ยนะ
เป็นอาการอย่างหนึ่ง
แล้วพอกำไปแล้ว เออ!ไอ้ของที่กำอยู่มันไม่เที่ยงเนี่ย
มันเหมือนกับกำก้อนอะไรที่มันเปลี่ยนรูปได้
เปลี่ยนไปเรื่อยๆแล้วจะกำไปทำไม
มันก็จะมีอาการเหมือนกับปล่อยมือ
คลายมือออกมาตามธรรมชาติ
ธรรมดาของจิตที่ฉลาดขึ้นนะครับ
อันนี้ก็ขอให้ลองดูก็แล้วกัน แค่ลอง แค่นี้แหละ
สังเกตความยึดนะ ว่ามันมากหรือว่ามันน้อย
ถ้าสังเกตเป็นนาทีได้
ก็สามารถจะสังเกตเป็นลมหายใจได้
แต่ละลมหายใจเนี่ย ความยึดไม่เท่ากันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น