วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๔.๖๑ กลัวผีมาก ทำอย่างไรดี?

ถาม :  ปกติกลัวผีมากมาตั้งแต่เด็ก ไม่กล้านอนคนเดียว แล้วประมาณเดือนก่อน เพื่อนๆ คุยกันเรื่องผี ทำให้กลัวมาก จนตอนนี้ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้วก็ยังคิดถึงอยู่ ในหัวมีจินตนาการว่าเราจะเจอขนาดนี้ขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินว่าถ้าใจเราผูกติดกับเรื่องผีหรือคนที่ตาย เดี๋ยวเขาจะมาหาเราด้วย ก็ยิ่งกลัวไปกันใหญ่ แต่ในใจไม่ยอมหยุดจินตนาการ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี?


รับฟังทางยูทูป
: https://youtu.be/ve94KgkJr4s

ดังตฤณ: 

สรุปคำถามก็คือว่า มันมีการกระตุ้นขึ้นมาด้วยการคุยกับเพื่อนเรื่องผี แล้วเกิดความไปปรุงแต่งต่อนั่นเอง ปรุงแต่งเสร็จแล้วมีความกลัวแทรกซ้อนเข้ามาอีกด้วย คือเคยไปได้ยินมาว่าคิดถึงผีเดี๋ยวผีจะมาหา เดี๋ยวผีจะได้ช่องทางเข้าถึงตัว ซึ่งเอาเฉพาะความเข้าใจตรงนี้ก่อน

สมมติก่อนแล้วกันว่า ผีมีอยู่จริงๆ แล้วผีแรงจริง เป็นกรณีนี้ก่อนนะครับ ก็เป็นไปได้ที่กระแสจิตของเราที่มีความกลัวมาก ที่เราเล็งไปที่ผีมากๆ จะไปดึงดูดเขามา ไปสะกิดเรียกเขามา ผมขอให้คิดถึงตอนที่คุณกำลังกลัวว่าใครเขาจะมาเห็นคุณ แล้วความกลัวนั้นไปเรียกให้เขาหันมาจริงๆ หรือเอาง่ายๆ ที่เป็นประสบการณ์สามัญในชีวิตประจำวัน เวลาที่คุณจ้องใครนานๆ เขาจะเกิดความรู้สึกเหมือนกับมีใครกำลังจ้องอยู่ แล้วหันมาสบตาคุณเป๊ะเลย อะไรทำนองนั้น แต่ว่าลักษณะที่ความกลัวไปเรียกผีมา มันจะชัดเจนกว่านั้น

ถ้าสมมติว่ามีผีอยู่จริงๆ แล้วเป็นผีประเภทที่มีบาปมีกรรมติดตัว ชอบหลอกชอบหลอน ชอบทำให้คนเกิดความกลัว เขาจะมีเรดาร์ของเขา จิตของเขาจะคล้ายๆ กับจิตที่ควานไปเรื่อย ถ้าสัมผัสได้ถึงความกลัว ก็อาจจะนึกสนุกอยากมาล้อเล่น อยากที่จะมาทำให้เรากลัวหนักเข้าไปอีก เหมือนคนที่เป็นอันธพาล เห็นใครกลัวยิ่งชอบ เข้าไปทำท่าข่มขู่หรืออยากที่จะรังแกมากกว่าคนที่มีความกล้าหาญให้สัมผัสได้

แต่โชคดีอย่างหนึ่ง ผีประเภทที่ชอบเสพความกลัว ชอบเข้ามารุกรานคน ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ เพราะว่าเขาจะต้องมีบุญมีฤทธิ์ มีบุญมากพอที่จะมีฤทธิ์ สามารถที่จะมาหยอกล้อ เล่นกับคนได้ สามารถที่จะตระเวนไปอย่างเป็นอิสระ แล้วหาความกลัว สัมผัสความกลัว เข้าไปตอกย้ำ เข้าไปส่งเสริมแบบในลักษณะที่ ยิ่งกลัวก็ยิ่งมาอะไรแบบนั้น ไม่ใช่หาง่ายๆ คือเดิมจะต้องเป็นคนที่มีบุญ แต่ว่าจะต้องเป็นคนที่มีบุญประเภทชอบกลั่นแกล้งคน มีใจเป็นนักเลง ส่วนใหญ่คนที่มีบุญ ตายไปแล้วถ้าไม่ไปเกิดเป็นคนอีก ก็ไปเกิดเป็นเทวดา โอกาสที่จะมีบุญด้วยแล้วก็ชอบกลั่นแกล้งคน แล้วไปเป็นผี โอกาสเรียกว่าหนึ่งในหมื่น หนึ่งในแสน

พวกที่เป็นผีแล้วชอบหลอกคนจะจัดอยู่ในภูมิของเปรต อสุรกายก็เป็นส่วนหนึ่งของเปรตนะครับ ถ้าไม่เป็นเปรตก็เป็นอสุรกาย ลักษณะของเปรตจะมีความหนาวเย็น มีความเยือก ยะเยือก มีลักษณะของสัตว์ที่หิว มีลักษณะของสัตว์ที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย หวาดกลัว ส่วนพวกอสุรกายก็จะเป็นพวกที่ค่อนข้างจะมีสติดีกว่าพวกเปรต มีความคิดความอ่าน มีความดุร้าย มีโทสะเป็นเจ้าเรือน

แต่ละประเภทของผี ถ้าเราทำความเข้าใจว่าที่มาที่ไปของเขาเป็นอย่างไร ความกลัวมันจะลดลงได้ แล้วถ้าหากจะคิดในลักษณะปรุงแต่ง อย่าคิดในแบบที่เหวี่ยงแห อย่างที่ถามมาก็คือว่า เราคิดแบบสะเปะสะปะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผีจริงๆ เป็นอย่างไร ปรุงแต่งไปมีแต่ความน่ากลัวๆๆ ใจมันก็เลยมืด คิดไปต่างๆนานาในทางที่เป็นอัปมงคล ในทางที่เป็นนิมิตหลอกหลอน ในทางที่มันเป็นอะไรที่เคยเจอในหนัง ยิ่งพอไปฟังเขามาว่า ยิ่งคิดถึงผีมากเดี๋ยวผีจะยิ่งคลำมาหาตัวได้ถูก อะไรแบบนั้น ยิ่งไปกันใหญ่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีจิตที่ค่อนข้างแรง คนที่มีตัวกิเลสแรงๆ เอาเฉพาะเจาะจงเลยก็คือ ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่มีโทสะแรง เป็นคนที่หงุดหงิดง่าย ลักษณะความยึดมั่นถือมั่นในทางกลัว มันจะรุนแรง เพราะว่าตัวโทสะเป็นมูลของความกลัว

ความกลัวมีมูลเป็นโทสะ ถ้าคนมีโทสะเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว เวลากลัวขึ้นมาจะยึดมั่นถือมั่นรุนแรง ทำนองเดียวกับที่เราโกรธแล้วเราห้ามใจยากนั่นแหละ ทำนองเดียวกันกับการที่เราโมโหใครแล้วอยากด่า มันจะยั้งปากยาก อันนี้ก็เหมือนกัน พอกลัวผีแล้วโอกาสที่จะถอนความยึดติดหรือว่าหลงเข้าไปสู่ที่มืดกับความกลัว มันก็ยิ่งยาก

ทางหนึ่งนอกจากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องผีให้ดี เราควรจะซ้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่นปกติก็สวดมนต์อยู่แล้ว แต่สวดให้มีความตั้งใจว่า เราจะให้กระแสเมตตารินออกมา ถ้ากระแสเมตตายังไม่รินออกมา เราจะยังไม่เลิกสวด ลองตั้งใจอย่างนี้ดู แล้วบทสวดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ผีกลัวมากที่สุด ผีอยากเป็นมิตรด้วยที่สุด คือบทอิติปิโส สวดไปเถอะ อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา…’ เราจะรู้สึกว่าจิตพร้อมเป็นมิตรกับวิญญาณทุกดวงในสากลจักรวาล

เมื่อไรที่จิตมีลักษณะของเมตตา มีลักษณะของความสว่าง มีลักษณะของความนุ่มนวล และพร้อมที่จะแผ่ พร้อมที่จะหลั่งรินน้ำใจออกมา ตรงนั้นเราจะรู้สึกเลยว่า สามารถญาติดีกับวิญญาณทุกดวง ไม่ว่าจะมาร้ายหรือมาดีขนาดไหน อย่างน้อยที่สุดเราจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ความใจดีมีเมตตานั่นแหละ ลดความกลัวลงไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว หรือถ้าหากว่ากำลังใจดีมีเมตตาเต็มๆ ก็หายกลัวได้เต็มๆ เพราะคนใจดีมีความเมตตา ถ้าหากว่าเต็มดวง ถ้าหากว่าความเมตตาแก่กล้าเต็มขั้น ต่อให้คนตัดมือตัดเท้าเราอยู่ เราก็จะไม่โกรธเขาเลย

แบบที่พระพุทธเจ้าท่านเคยประสบความสำเร็จมาในขณะที่ท่านยังท่องเที่ยวเกิดตายเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นมหาโพธิสัตว์อยู่ พระเทวทัตในสมัยนั้นโกรธแค้นท่านด้วยเรื่องราวต่างๆนานา จับท่านตัดมือตัดเท้า แถมข่มขืนภรรยาท่านให้ดูต่อหน้าต่อตาด้วย ใจท่านไม่มีความโกรธเลย ใจท่านไม่มีความขัดเคืองเลย มีแต่อาการพร้อมจะแผ่เมตตา พร้อมที่จะหลั่งรินกระแสของอภัยทานออกไป ในที่สุด ท่านตายไปในสภาพที่สยดสยองมาก ลองนึกดูคนโดนตัดมือตัดเท้า คนโดนย่ำยีจิตใจด้วยประการต่างๆ เอาภรรยามาข่มขืนให้ดูต่อหน้า คนปกติจะคุมอารมณ์ได้ไหม แต่เพราะท่านฝึกไว้ก่อน เพราะท่านมีเมตตาอยู่เปี่ยมล้นก่อน ท่านจึงเอาชนะความเกลียด เอาชนะความโกรธได้ ที่ไปของท่านในครั้งนั้นก็คือพรหมโลก หลังจากที่ขาดใจตายไปจากความเป็นมนุษย์ ท่านก็ได้ไปสู่พรหมโลก

ถ้าเรานำมาประยุกต์ใช้ คงไม่ต้องถึงกับหายกลัวได้เด็ดขาดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราซ้อมไว้ สวดอิติปิโสด้วยความตั้งใจว่า ถ้ายังไม่เกิดความรู้สึกเมตตา ถ้ายังไม่เกิดความรู้สึกเป็นสุขที่ได้สวด เราจะยังไม่เลิกสวด สวดให้เต็มเสียง เปล่งเสียงออกมา แก้วเสียงของผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เพราะอยู่แล้ว สวดให้เพราะ สวดให้เราได้ยินกับตัวเลยว่า ตอนที่ใจมีความรู้สึกเป็นกุศลเต็มที่เต็มกำลัง แก้วเสียงเพราะขนาดไหน แล้วแก้วเสียงที่เพราะนั้นก็จะไปปรุงแต่งให้จิตเกิดความรู้สึกที่เหมือนกับแก้วใส เหมือนอะไรที่พร้อมจะหลั่งรินออกมาเป็นความสุข หลั่งรินออกมาเป็นความขาวอย่างใหญ่ ความขาวอย่างใหญ่จะขับไล่ความมืด ความมืดจากความกลัวไม่สามารถเข้าแทรกแซงได้ ณ เวลาที่ใจเราสว่างเต็มที่

สรุปก็คือ หนึ่ง ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของผีให้ดี รู้จักผี อย่างน้อยที่สุดมีความรู้สักนิดหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่จินตนาการ สอง คือหมั่นสวดมนต์ อิติปิโส ด้วยความตั้งใจว่า ใจยังไม่เป็นเมตตาฉันใด เราจะยังไม่หยุดสวดฉันนั้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น