ถาม : จะแก้อาการติดใจผู้คนจากรูปกายภายนอกได้อย่างไร?
ใส่ในแง่ของการเจริญสตินะ
ถ้าหากว่าเรามีความติดใจง่ายโดยเฉพาะในเรื่องของรูปร่างหน้าตาของคนที่น่า
พอใจ น่ารัก น่าเอ็นดู เรียกว่าสามารถที่จะกระตุ้นกิเลสเราได้ล่ะ
สามารถที่จะทำให้กิเลสเราฟุ้ง เรากระพือ เรามีความเตลิดไป
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืออย่าเพิ่งไปพยายามที่จะฝึก พยายามที่จะจี้ให้ใจของเราไม่ไปติด ไม่ไปยึดในขณะที่เห็น แต่รู้ให้ทันก่อนดีกว่าว่า หลังจากที่เห็นผ่านไปแล้ว คือไม่เอาตอนขณะเห็น แต่เอาตอนขณะที่มันผ่านไปแล้ว ผ่านสายตาไปแล้ว มีอาการฟุ้งซ่านอย่างไร มีอาการเหม่อลอย มีอาการฝันหวานอย่างไร มีอาการที่เราหวนกลับไปคิด ย้อนกลับไปนึกถึงรูปร่างหน้าตาหรือว่าอะไรที่มันเป็นรัศมีความน่ารัก รัศมีความหล่อ รัศมีความเป็นซุปเปอร์สตาร์ อะไรต่าง ๆ นะที่มันจะมาครอบงำจิตใจเราได้ ลองดูตอนนั้นว่าใจเรามีอาการอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้นะ กามารมณ์ คือ กามคุณ หมายถึง การตรึกนึกถึงเพศตรงข้าม จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีอาการเล็งเข้าไป พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ตรึกนึก ถ้าไม่นึกถึง ถ้าจิตไม่มีการดึงเอาภาพความทรงจำเก่า ๆ กลับมานะ มันจะไม่มีทางที่เราจะเกิดความรู้สึกฝันหวาน เกิดความรู้สึกเหมือนกับพึงพอใจไปในรูป รส กลิ่น เสียงได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเมื่อผัสสะหายไปแล้วนะ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจเรา สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจเรา ก็คือความรู้สึกติดใจซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดอาการตรึกนึก อาการตรึกนึกหน้าตาเป็นอย่างไร อาการตรึกนึกคือ ลองนั่ง ๆ ดูแล้วมีความรู้สึกเหมือนหนัก ๆ ขึ้นมาในหัว มีอาการเหมือนกับมอเตอร์มันหมุน มอเตอร์มันทำงาน มีอาการควง มีอาการที่ในหัวของเราไม่สงบ มีแต่ความวุ่นวายมีแต่ความปั่นป่วน มีแต่ความรู้สึกเหมือนอึ้งๆ มีแต่ความรู้สึกเหมือนไม่เป็นอิสระ เหมือนกับเราวนลูป (loop) วน วนเวียนอยู่กับที่ไม่ไปไหน จดจ่ออยู่กับเรื่อง ๆ เดียว คือความน่าติดใจของเพศตรงข้าม
ลักษณะอาการตรึกนึกเมื่อเรารู้สึกถึงมันได้ เราก็จะเห็นว่ามันเป็นแค่สภาพอะไรอย่างหนึ่งมันไม่ใช่ของจริง คำว่าของจริงหมายความว่า ตาเราไปประจวบกับรูปแล้วเห็นว่าเขายิ้มยังไง นัยน์ตามีประกายส่องแววน่ารักอย่างไร มีรังสีดึงดูดอย่างไร มีรังสีความน่าชอบใจที่ทำให้เรารู้สึกหวั่นไหวอย่างไร ตรงนี้มันไม่มีอยู่แล้ว มันไม่ได้มีรูปเข้ามากระทบตา มันไม่ได้มีเสียงของเขาเข้ามากระทบหู มันไม่ได้มีลักษณะรูป รส กลิ่น เสียงที่มันสามารถสัมผัสได้อยู่เลย ณ เวลานั้น มีแต่อาการตรึกนึกอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นพอเราจับได้ไล่ทันว่าสิ่งที่ทำให้เราติดใจมากที่สุด ไม่ใช่ตัวรูปทรงหน้าตาแต่เป็นอาการตรึกนึก เมื่อเห็นอาการตรึกนึกว่า สักแต่เป็นภาวะที่ไร้สาระเกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราหนักหัว เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้ใจเรามันเหมือนมียางเหนียว เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราเกิดความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว มีความกระสับกระส่าย
พอเห็นอย่างนี้ชัดเจนหลาย ๆ ครั้งเข้า ความรู้สึกติดใจมันจะน้อยลงเอง แล้วผลของการที่เราสามารถจะฝึกให้เห็นว่า สักแต่เป็นอาการตรึกนึกเข้าไปในกามคุณ ๕ ในรูป รส กลิ่น เสียงก็คือ เวลาที่ตาเราประจวบกับรูปเข้าจริง ๆ หมายถึงว่าคนเดิมมาปรากฏตัวนะ อย่างน้อยที่สุดเราจะรู้เท่าทันว่านี่คือต้นเหตุมีรูปอยู่จริง ๆ กำลังกระทบตาเราอยู่จริง ๆ แล้วทำให้เกิดปฏิกิริยาทางใจอยู่จริง ๆ อย่าไปปฏิเสธ อย่าไปห้าม อย่าไปทำเป็นว่าฉันไม่สน หรือว่าฉันไม่รู้สึก นี่แค่อสุภะอะไรต่าง ๆ นะ ถ้าเรายังไม่ถึงอสุภะจริง ๆ แล้วไปแกล้งคิดว่านี่สักแต่เป็นอสุภะ อาการนั้นจะเป็นอาการหลอกตัวเองของใจ เมื่อใจหลอกตัวเองบ่อย ๆ เข้า ในที่สุดมันเกิดความทุกข์สองชั้น ทุกข์ที่คิดถึงด้วย ตรึกนึกด้วย และทุกข์ที่ไม่สามารถจะหลอกตัวเองสำเร็จ เพราะยังไง ๆ มันก็ถวิลหาอยู่ดี
แต่ถ้าเราไม่หลอกตัวเอง ไม่พยายามที่จะทำอะไรให้มันเป็นการฝืนกับความรู้สึกทางใจ แต่เราเห็นโทษตามจริงว่าการตรึกนึกมันสักแต่ทำให้หนักหัว ทำให้หนักอก แล้วก็รู้ด้วยว่าต้นตอคือ รูปที่น่ารักหรือว่าเสียงที่น่าใคร่ เวลาไปประจวบเข้าจริง ๆ แล้วมันเกิดอาการติดใจ หน้าตาความติดใจเป็นอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวมันไปปรุงแต่งออกเป็นอาการตรึกนึกซ้ำอีก ซ้ำไปซ้ำมา วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งพอเราเห็นมีความชัดเจนแล้ว รูปกับเสียงที่กระทบตาเราจริง ๆ กระทบหูเราจริง ๆ มันเป็นต้นตอ มันเป็นรากเหง้า มันเป็นเมล็ดพันธุ์ของอาการตรึกนึกถึงกามคุณ ๕ เราจะพลอยมีความรู้สึกเห็นโทษ โทษของการที่ตาของเราไปประจวบกับรูปนั้นแล้วเกิดความรู้สึกติดใจ ณ เวลานั้น คือมันจะไม่ลบล้างเอาความติดใจ ความยินดีในเพศตรงข้ามหมดไป ไม่ใช่! แต่ใจของเราจะถอน ใจของเราจะค่อย ๆ ถอยออกมา ไม่ยึดแน่นเหนียวมากเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องของคนที่จะเจริญสติอยู่ในเมือง คือคุณอย่าไปหวังว่าจะเลิกติดใจเพศตรงข้ามได้ มันเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นแต่ใจของเรามันจะหันหน้าเข้าหาวัดจริง ๆ จะเล็งเข้าหาประตูวัดจริง ๆ ตรงนั้นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเรายังมีความรู้สึกยินดีอยู่ในโลก มันเป็นไปไม่ได้เลยครับที่จะเห็นเพศตรงข้ามที่น่ารักน่าใคร่แล้ว ใจเราจะมีความรู้สึกหมดอาลัย หมดความยินดีหรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลย
ขอให้ยอมรับไปตามจริงว่ารู้สึกอย่างไร มีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วเห็นโทษของการตรึกนึกก็แล้วกัน อย่างน้อยที่สุดใจมันจะถอนออกมา ถอยออกมาไม่ยึดมากเกินไป แล้วไม่ทำให้ทุกข์มากเกินไปในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองว่าเราจะเอายังไงกันแน่
เป็นกันมากเลยนะคนที่เจริญสติกันในเมือง จะมีความรู้สึกเหมือนกับสองจิตสองใจไม่รู้จะเอาอย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากจะเจริญสติไปคนเดียวเป็นโสด อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเหงารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ มันเป็นจังหวะ ๆ ไป ก็ขอให้ดูด้วยว่าอาการเหงา อาการที่เรารู้สึกเหมือนไม่อยากอยู่คนเดียว อาการที่เราอยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง มันสลับหน้าเข้ามาแบบเบื่อ ๆ อยาก ๆ บางทีเราก็อยากอยู่คนเดียวตัวคนเดียวอย่างนี้แหละ แล้วถ้าหากว่ามีใครมาจีบหรือว่ามีใครมาทำท่าสนอกสนใจจริงจัง ใจเราก็เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก เดี๋ยวจะต้องไปอยู่เป็นคู่หรือเปล่า เดี๋ยวจะต้องไปมีทุกข์แบบคนที่มีครอบครัวหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นกันเป็นปกติคุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณมีเพื่อนเยอะแยะเลยนะ
ก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากว่าเราจะเจริญสติในขณะที่อยู่ในเมือง แล้วยอมรับตามจริงว่าใจเรายังเหงา ๆ ได้ ใจเรายังอยากที่จะสนใจเพศตรงข้ามได้ ให้ยอมรับปฏิกิริยาทางใจไปตามจริงไปเรื่อย ๆ ให้เกิดเห็นความเห็นโทษ เกิดความเห็นทุกข์ ถ้าหากว่าเส้นทางของเรามันจะถอยออกไปจากโลกจริง ๆ ใจมันจะถอยออกมา ร่น ๆ ๆ ออกมา แล้วก็ไม่เดินเข้าไปต่อติดอีกจริง ๆ แล้วตรงนั้นแหละที่มันจะตัดเชือกว่า เราสามารถจะไปอยู่ในวัดได้ แต่ถ้าหากว่า มันไม่ได้ไป ๆ กลับ ๆ เดี๋ยวเบื่อๆ อยาก ๆ ก็ให้เห็นความไม่เที่ยงของใจไปก็แล้วกัน เดี๋ยววันหนึ่งเบื่อเดี๋ยววันหนึ่งอยาก อย่างน้อยที่สุด ในความไม่เที่ยงก็จะได้ไม่ก่อความทุกข์ทางใจให้กับเรา แล้วก็ไม่ก่อความสับสนว่า เราเจริญสติแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุขมากกว่าเดิมกันแน่
เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืออย่าเพิ่งไปพยายามที่จะฝึก พยายามที่จะจี้ให้ใจของเราไม่ไปติด ไม่ไปยึดในขณะที่เห็น แต่รู้ให้ทันก่อนดีกว่าว่า หลังจากที่เห็นผ่านไปแล้ว คือไม่เอาตอนขณะเห็น แต่เอาตอนขณะที่มันผ่านไปแล้ว ผ่านสายตาไปแล้ว มีอาการฟุ้งซ่านอย่างไร มีอาการเหม่อลอย มีอาการฝันหวานอย่างไร มีอาการที่เราหวนกลับไปคิด ย้อนกลับไปนึกถึงรูปร่างหน้าตาหรือว่าอะไรที่มันเป็นรัศมีความน่ารัก รัศมีความหล่อ รัศมีความเป็นซุปเปอร์สตาร์ อะไรต่าง ๆ นะที่มันจะมาครอบงำจิตใจเราได้ ลองดูตอนนั้นว่าใจเรามีอาการอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้นะ กามารมณ์ คือ กามคุณ หมายถึง การตรึกนึกถึงเพศตรงข้าม จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีอาการเล็งเข้าไป พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่ตรึกนึก ถ้าไม่นึกถึง ถ้าจิตไม่มีการดึงเอาภาพความทรงจำเก่า ๆ กลับมานะ มันจะไม่มีทางที่เราจะเกิดความรู้สึกฝันหวาน เกิดความรู้สึกเหมือนกับพึงพอใจไปในรูป รส กลิ่น เสียงได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเมื่อผัสสะหายไปแล้วนะ สิ่งที่เหลืออยู่ในใจเรา สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจเรา ก็คือความรู้สึกติดใจซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดอาการตรึกนึก อาการตรึกนึกหน้าตาเป็นอย่างไร อาการตรึกนึกคือ ลองนั่ง ๆ ดูแล้วมีความรู้สึกเหมือนหนัก ๆ ขึ้นมาในหัว มีอาการเหมือนกับมอเตอร์มันหมุน มอเตอร์มันทำงาน มีอาการควง มีอาการที่ในหัวของเราไม่สงบ มีแต่ความวุ่นวายมีแต่ความปั่นป่วน มีแต่ความรู้สึกเหมือนอึ้งๆ มีแต่ความรู้สึกเหมือนไม่เป็นอิสระ เหมือนกับเราวนลูป (loop) วน วนเวียนอยู่กับที่ไม่ไปไหน จดจ่ออยู่กับเรื่อง ๆ เดียว คือความน่าติดใจของเพศตรงข้าม
ลักษณะอาการตรึกนึกเมื่อเรารู้สึกถึงมันได้ เราก็จะเห็นว่ามันเป็นแค่สภาพอะไรอย่างหนึ่งมันไม่ใช่ของจริง คำว่าของจริงหมายความว่า ตาเราไปประจวบกับรูปแล้วเห็นว่าเขายิ้มยังไง นัยน์ตามีประกายส่องแววน่ารักอย่างไร มีรังสีดึงดูดอย่างไร มีรังสีความน่าชอบใจที่ทำให้เรารู้สึกหวั่นไหวอย่างไร ตรงนี้มันไม่มีอยู่แล้ว มันไม่ได้มีรูปเข้ามากระทบตา มันไม่ได้มีเสียงของเขาเข้ามากระทบหู มันไม่ได้มีลักษณะรูป รส กลิ่น เสียงที่มันสามารถสัมผัสได้อยู่เลย ณ เวลานั้น มีแต่อาการตรึกนึกอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นพอเราจับได้ไล่ทันว่าสิ่งที่ทำให้เราติดใจมากที่สุด ไม่ใช่ตัวรูปทรงหน้าตาแต่เป็นอาการตรึกนึก เมื่อเห็นอาการตรึกนึกว่า สักแต่เป็นภาวะที่ไร้สาระเกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราหนักหัว เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้ใจเรามันเหมือนมียางเหนียว เกิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้เราเกิดความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว มีความกระสับกระส่าย
พอเห็นอย่างนี้ชัดเจนหลาย ๆ ครั้งเข้า ความรู้สึกติดใจมันจะน้อยลงเอง แล้วผลของการที่เราสามารถจะฝึกให้เห็นว่า สักแต่เป็นอาการตรึกนึกเข้าไปในกามคุณ ๕ ในรูป รส กลิ่น เสียงก็คือ เวลาที่ตาเราประจวบกับรูปเข้าจริง ๆ หมายถึงว่าคนเดิมมาปรากฏตัวนะ อย่างน้อยที่สุดเราจะรู้เท่าทันว่านี่คือต้นเหตุมีรูปอยู่จริง ๆ กำลังกระทบตาเราอยู่จริง ๆ แล้วทำให้เกิดปฏิกิริยาทางใจอยู่จริง ๆ อย่าไปปฏิเสธ อย่าไปห้าม อย่าไปทำเป็นว่าฉันไม่สน หรือว่าฉันไม่รู้สึก นี่แค่อสุภะอะไรต่าง ๆ นะ ถ้าเรายังไม่ถึงอสุภะจริง ๆ แล้วไปแกล้งคิดว่านี่สักแต่เป็นอสุภะ อาการนั้นจะเป็นอาการหลอกตัวเองของใจ เมื่อใจหลอกตัวเองบ่อย ๆ เข้า ในที่สุดมันเกิดความทุกข์สองชั้น ทุกข์ที่คิดถึงด้วย ตรึกนึกด้วย และทุกข์ที่ไม่สามารถจะหลอกตัวเองสำเร็จ เพราะยังไง ๆ มันก็ถวิลหาอยู่ดี
แต่ถ้าเราไม่หลอกตัวเอง ไม่พยายามที่จะทำอะไรให้มันเป็นการฝืนกับความรู้สึกทางใจ แต่เราเห็นโทษตามจริงว่าการตรึกนึกมันสักแต่ทำให้หนักหัว ทำให้หนักอก แล้วก็รู้ด้วยว่าต้นตอคือ รูปที่น่ารักหรือว่าเสียงที่น่าใคร่ เวลาไปประจวบเข้าจริง ๆ แล้วมันเกิดอาการติดใจ หน้าตาความติดใจเป็นอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวมันไปปรุงแต่งออกเป็นอาการตรึกนึกซ้ำอีก ซ้ำไปซ้ำมา วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งพอเราเห็นมีความชัดเจนแล้ว รูปกับเสียงที่กระทบตาเราจริง ๆ กระทบหูเราจริง ๆ มันเป็นต้นตอ มันเป็นรากเหง้า มันเป็นเมล็ดพันธุ์ของอาการตรึกนึกถึงกามคุณ ๕ เราจะพลอยมีความรู้สึกเห็นโทษ โทษของการที่ตาของเราไปประจวบกับรูปนั้นแล้วเกิดความรู้สึกติดใจ ณ เวลานั้น คือมันจะไม่ลบล้างเอาความติดใจ ความยินดีในเพศตรงข้ามหมดไป ไม่ใช่! แต่ใจของเราจะถอน ใจของเราจะค่อย ๆ ถอยออกมา ไม่ยึดแน่นเหนียวมากเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องของคนที่จะเจริญสติอยู่ในเมือง คือคุณอย่าไปหวังว่าจะเลิกติดใจเพศตรงข้ามได้ มันเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นแต่ใจของเรามันจะหันหน้าเข้าหาวัดจริง ๆ จะเล็งเข้าหาประตูวัดจริง ๆ ตรงนั้นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าเรายังมีความรู้สึกยินดีอยู่ในโลก มันเป็นไปไม่ได้เลยครับที่จะเห็นเพศตรงข้ามที่น่ารักน่าใคร่แล้ว ใจเราจะมีความรู้สึกหมดอาลัย หมดความยินดีหรือว่าไม่รู้สึกอะไรเลย
ขอให้ยอมรับไปตามจริงว่ารู้สึกอย่างไร มีปฏิกิริยาอย่างไร แล้วเห็นโทษของการตรึกนึกก็แล้วกัน อย่างน้อยที่สุดใจมันจะถอนออกมา ถอยออกมาไม่ยึดมากเกินไป แล้วไม่ทำให้ทุกข์มากเกินไปในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือไม่ทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองว่าเราจะเอายังไงกันแน่
เป็นกันมากเลยนะคนที่เจริญสติกันในเมือง จะมีความรู้สึกเหมือนกับสองจิตสองใจไม่รู้จะเอาอย่างไรดี ใจหนึ่งก็อยากจะเจริญสติไปคนเดียวเป็นโสด อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเหงารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ มันเป็นจังหวะ ๆ ไป ก็ขอให้ดูด้วยว่าอาการเหงา อาการที่เรารู้สึกเหมือนไม่อยากอยู่คนเดียว อาการที่เราอยากมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง มันสลับหน้าเข้ามาแบบเบื่อ ๆ อยาก ๆ บางทีเราก็อยากอยู่คนเดียวตัวคนเดียวอย่างนี้แหละ แล้วถ้าหากว่ามีใครมาจีบหรือว่ามีใครมาทำท่าสนอกสนใจจริงจัง ใจเราก็เกิดความรู้สึกเป็นทุกข์ขึ้นมาอีก เดี๋ยวจะต้องไปอยู่เป็นคู่หรือเปล่า เดี๋ยวจะต้องไปมีทุกข์แบบคนที่มีครอบครัวหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นกันเป็นปกติคุณไม่ได้โดดเดี่ยว คุณมีเพื่อนเยอะแยะเลยนะ
ก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากว่าเราจะเจริญสติในขณะที่อยู่ในเมือง แล้วยอมรับตามจริงว่าใจเรายังเหงา ๆ ได้ ใจเรายังอยากที่จะสนใจเพศตรงข้ามได้ ให้ยอมรับปฏิกิริยาทางใจไปตามจริงไปเรื่อย ๆ ให้เกิดเห็นความเห็นโทษ เกิดความเห็นทุกข์ ถ้าหากว่าเส้นทางของเรามันจะถอยออกไปจากโลกจริง ๆ ใจมันจะถอยออกมา ร่น ๆ ๆ ออกมา แล้วก็ไม่เดินเข้าไปต่อติดอีกจริง ๆ แล้วตรงนั้นแหละที่มันจะตัดเชือกว่า เราสามารถจะไปอยู่ในวัดได้ แต่ถ้าหากว่า มันไม่ได้ไป ๆ กลับ ๆ เดี๋ยวเบื่อๆ อยาก ๆ ก็ให้เห็นความไม่เที่ยงของใจไปก็แล้วกัน เดี๋ยววันหนึ่งเบื่อเดี๋ยววันหนึ่งอยาก อย่างน้อยที่สุด ในความไม่เที่ยงก็จะได้ไม่ก่อความทุกข์ทางใจให้กับเรา แล้วก็ไม่ก่อความสับสนว่า เราเจริญสติแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุขมากกว่าเดิมกันแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น