ถาม
: บางทีมันจะมีจิตใจที่หดหู่
ตื่นขึ้นมามันก็หดหู่ไปเลยเรื่อยๆ
คือมีพี่ที่รู้จักกันเขาบอกว่าอันนี้บางทีมันเป็นวิบาก แล้วมันก็ไม่หายไปหรอก
ก็ต้องอดทนรับไป มันใช่ด้วยหรือเปล่าคะ? แล้วมันมีอย่างอื่นด้วยหรือเปล่า? แล้วเวลามีอะไรเกิดขึ้น
มักจะคิดว่าจะทำอย่างไรให้หาย มันจะต้องทำอย่างไรถึงจะหายคะ?
ดังตฤณ
: อย่างนี้นะ
ตอบคำถามนี้ก่อนว่า ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วจิตใจหดหู่ มีความซึมเศร้า
มีความรู้สึกแย่ๆกับตัวเอง มันเป็นวิบากเก่าๆได้รึเปล่า ก็เอาประเด็นนี้ก่อน
มันเป็นไปได้ที่จะเป็นวิบากเก่า แต่วิบากที่เราค่อยๆไล่กันไป วิบากที่ใกล้ก่อน
ถ้าหากว่าเราเป็นคนคิดมาก ถ้าหากว่าเราเป็นคนที่เหมือนกับค่อนข้างจะจุกจิก
คิดโน่นคิดนี่หยุมหยิม แล้วก็กังวลห่วงไปในอนาคต
หรือว่าคาดหวังอะไรที่มันค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้ หรือว่าค่อนข้างที่จะรู้ๆอยู่
รู้อยู่แก่ใจว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น แต่เราก็อดคาดหวังไม่ได้
สะสมความเป็นคนคิดมาก หรือว่าคาดหวังมากไว้ในชาตินี้
เอาแค่ในปัจจุบันชาตินี่นะในชีวิตนี้นี่ แค่สักปีสองปี
มันมีโอกาสที่จะตื่นมาแล้วเกิดความซึมเศร้า มีความรู้สึกหดหู่
มีความรู้สึกย่ำแย่ได้แล้ว
การที่เราจะพิจารณาว่ามันเป็นวิบากจากการกระทำเมื่อครั้งไหน
สิ่งที่จะมีความชัดเจนมากที่สุด คือสิ่งที่เราระลึกได้ สิ่งที่เราเห็นได้
สิ่งที่เราสามารถที่จะชี้ชัดลงไปว่าต้นตอของปัญหามันมาจากตรงนั้น
ถ้าหากว่าเรามองอย่างนี้ก่อนว่า เออ มันอาจจะมาจากการที่เราสะสมความคิดมากมา
หรือว่าคาดหวังอะไรที่มันไม่ค่อยจะเป็นไปได้ เราก็จะมองย้อนกลับไปด้วยว่า
นิสัยแบบนี้มันสืบมาจากไหน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
มันต้องเริ่มต้นสะสมมาจากจุดใดจุดหนึ่งสักแห่งหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะว่า
อันนี้สมมตินะ ไม่เกี่ยวกับตัวน้องนะครับ อันนี้พูดโดยแบบเป็นยกตัวอย่าง
สำหรับคนคิดมาก หรือว่าคนคาดหวังมากนี่ ตอนสมัยเด็กๆเราอาจจะต้องแข่งขันกับคนอื่น
มีคนมาทำให้เราเกิดความรู้สึกว่าตัวเองอยู่นิ่งกับที่ไม่ได้ ต้องรุดไปข้างหน้า
ต้องคว้าความเป็นหนึ่งความเป็นเลิศ หรือว่าจะต้องมีความไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่
แล้วก็คาดว่าหวังว่าอะไรๆมันคงจะดีขึ้น คงจะมีของใหม่ คงจะมีคนใหม่
คงจะมีอะไรที่มันทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมา
แล้วพอสะสมเหตุการณ์เหล่านั้นมากๆเข้า โดยที่จิตใจของเรามีแนวโน้มที่จะคิดแบบเดิมๆ
คิดมากและก็คาดหวังมาก ตรงนี้มันก็ถึงจุดหนึ่งทำให้เราตื่นขึ้นมาแล้วหดหู่ได้
ถามว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ที่ทำให้เราคิดมาก
หรือว่าคาดหวังอะไรเกินกว่าที่มันจะเป็นไปได้จริง มันเริ่มต้นมาจากไหน
ถ้าหากอธิบายกันตามหลักของกรรมวิบาก ก็โอเคครับ เป็นไปได้ครับ
ที่ในอดีตเราอาจจะก็เหมือนกับสร้างบุญไว้เยอะ
แต่ว่าในขณะเดียวกันก็อาจไปสร้างความผิดหวังให้กับใครต่อใครเขาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นในปัจจุบัน
มันเลยเหมือนกับว่าอยู่ในฐานของคนที่สามารถคาดหวังอะไรได้ไกล ฝันอะไรได้มาก
แต่ว่าความฝันมันมักไปไม่ถึงดวงดาว มันอาจจะคาดไว้สิบมันได้แค่แปดหรือได้แค่เก้า
แล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้อิ่มสักที มันยังไม่ถึงใจสักที ก็เลยสะสมมาเป็นคนคิดมากโดยไม่รู้ตัวตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา
แต่อันนี้ ที่พี่พูดนี่คือ เป็นการพูดโดยตอบโจทย์ว่า
เราตื่นขึ้นมาตอนเช้ามันมีจิตใจหดหู่มันเป็นวิบากกรรมเก่าหรือเปล่า
แต่ว่าถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ว่า เมื่อมีโจทย์ของชีวิต
มีปัญหาของชีวิตเกิดขึ้นก็คือ ตื่นเช้ามาแล้วมันไม่มีความสุข
ทำอย่างไรจึงจะเป็นสุขมากกว่าที่เป็นอยู่
ทำอย่างไรจึงจะตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีความสุขสดชื่นได้ ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญกว่า
เพราะว่าที่มาที่ไป เรารู้อยู่แล้ว
ว่ามันอาจจะเชื่อมโยงกันระหว่างความคิดมากของเรากับการตื่นขึ้นมาแล้วหดหู่
แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีวิธีการที่ชัดเจน
อาการคิดมากหรืออาการที่ตื่นขึ้นมาด้วยความหดหู่นี้ ก็จะยังคงอยู่ต่อไป
ไม่ว่าเราจะรู้จริงหรือรู้ไม่จริงเกี่ยวกับเรื่องของกรรมเก่า
ไม่ว่านี่จะใช่วิบากของอดีตกรรมหรือเปล่า ถ้าเราแก้โจทย์ไม่ได้
ถ้าเราตีโจทย์ไม่แตก ถ้าเราไม่พบวิธีที่จะออกจากปัญหา ปัญหามันก็จะคาราคาซังต่อไป
และที่สำคัญก็คือ ปกติแล้วคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการหดหู่ทางจิต
มีแนวโน้มที่จะก่อกรรมไม่ค่อยจะดีในระหว่างวัน
เริ่มต้นขึ้นมาพอหดหู่ก็จะคิดมากแล้ว มันก็จะมีความรู้สึกที่เป็นลบกับตัวเอง
พอมีความรู้สึกที่เป็นลบกับตัวเอง โอกาสที่จะมีความรู้สึกเป็นบวกกับโลกและคนอื่นรอบๆตัวนี่แทบจะเป็นศูนย์เลย
ดังนั้นเราเห็นอย่างนี้แล้วว่า ความทุกข์ในการตื่นนอนขึ้นมา
มันเป็นโอกาสที่จะก่อกรรมใหม่ ซึ่งมันเป็นไปในทางลบได้
สิ่งที่เราจะต้องเร่งแก้ก็คือ ทำอย่างไรจึงจะตื่นขึ้นมาด้วยความสดใสแล้วมีพลัง
มีความรู้สึกชื่นบานมากพอ ที่จะเปลี่ยนแนวโน้มของกรรมที่จะก่อขึ้นใหม่ในวันนั้น
ส่วนใหญ่ที่พี่ให้คำแนะนำไปในการตื่นนอนขึ้นมาอย่างมีความสุข
ก็อาจจะยากสำหรับคนส่วนใหญ่
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ยินดีที่จะเอาชนะความขี้เกียจในเรื่องของการออกกำลังกาย
ถ้าหากว่าเราตื่นขึ้นมาทุกเช้า ออกกายบริหาร หรือว่ายิ่งถ้าหากออกท่าออกทาง
ยืดเส้นยืดสาย ในแบบที่เหงื่อจะออกได้สักนิดหนึ่งจะดีที่สุดเลย เพราะว่าเห็นชัดๆ
ทางแพทย์ยืนยันว่ามันจะมีการหลั่งสารดีๆออกมา
การหลั่งสารดีๆออกมาเอาชนะโรคซึมเศร้าหรือว่าความรู้สึกหดหู่ได้
เนื่องจากสารดีๆมันก็เหมือนกับเราได้ไปสูดอากาศบนยอดเขา ถ้าหากว่าเรากำลังกลุ้มใจ
เรากำลังเครียด
หรืออะไรที่มันเป็นไปในทางลบแล้วได้สูดอากาศที่มีความสดชื่นมากกว่าเดิม
แน่นอนว่าความเครียดหรือว่าอาการเก็บกดทั้งหลาย มันจะคลี่คลายออกไป
ถ้าเราดูหลักฐานทางการแพทย์ที่เขายืนยันกันแล้วว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดการหลั่งสารดีๆ
เราก็ควรที่จะมีแก่ใจยอม สละความขี้เกียจ เอาชนะความขี้เกียจให้ได้
ตื่นเช้าขึ้นมาปุ๊บ สิ่งแรกที่จะคิดคือลุกขึ้นมาออกกำลังกาย
ถ้าหากว่าเราออกกำลังกายได้สิบนาทีทุกเช้าแล้วสำรวจตัวเอง
อาจจะใช้วิธีจดไดอารี่ไว้ก็ได้ ตื่นแต่ละเช้า ออกกำลังกายไปสิบนาที มีผลอย่างไร
วันนี้มีความสุขมากขึ้นมั้ย รู้สึกดีขึ้นมั้ย
ความคิดมีแนวโน้มเป็นไปในทางบวกมากขึ้นรึเปล่า ถ้าหากว่าเราจดไดอารีไว้ทุกวัน
แล้วผลปรากฏว่า ทุกอย่างดีขึ้น มันจะมีแก่ใจ มันเหมือนได้เห็นหลักฐาน เพราะบางที
ถ้าเราไม่จดไว้ หรือเราไม่มีหลักฐานไว้บอกตัวเอง ยืนยันกับตัวเองว่ามันดีขึ้นจริงๆ
เราก็จะค่อยๆคล้อยตามความเคยชินแบบเก่าๆ
ความเคยชินแบบเก่าๆมันจะกวักมือเรียกหาให้นอนอยู่กับที่สักแป๊บหนึ่ง
หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย โดยที่ไม่มีทิศทางชัดเจน
แต่ถ้าหากว่าตื่นขึ้นมาปุ๊บ มีความรู้สึกทันที
ว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างหนึ่งเป็นการยืดเส้นยืดสาย แบบนี้แหละ
ความเคยชินแบบเก่าๆมันจะหายไปทันที นี่เป็นกรรมใหม่
เป็นความตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น นี่ถือเป็นบุญ นี่ถือเป็นกุศล
แล้วถ้าหากว่าการออกกำลังกายของเรา มันช่วยให้เรามีแก่ใจ
นึกอยากจะสวดมนต์ได้ นึกอยากจะนั่งสมาธิได้
นั่นยิ่งกลายเป็นความสว่างที่เกิดความชัดเจนขึ้นมา ร่างกายสว่าง
จิตใจก็พร้อมจะสว่างตาม ร่างกายสว่างหมายถึง มันหลั่งสารดีๆออกมา
แล้วทำให้เกิดปีติ ทำให้เกิดความสุข
แล้วจิตใจที่มีความสุขจากร่างกายที่สมบูรณ์มากขึ้น กระชุ่มกระชวยมากขึ้น
แล้วกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นแล้ว มันก็พร้อมที่จะทำอะไรดีๆตามไปได้ อย่างเช่น
ถ้าไม่เคยคิดว่าเราจะสวดมนต์ตอนเช้าได้ ลองสวดดู มันก็ไม่เหนื่อย มันก็ไม่ได้ฝืน
ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายเรายังทำได้ ถ้าสวดมนต์ สวดอิติปิโสตอนเช้าทุกเช้า
มันเกิดความรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจได้รับความชุ่มชื่น
ความชุ่มชื่นที่เกิดขึ้นนี่แหละเป็นวิบากเป็นผล
ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ที่สุดเลยในการทำบุญของเราที่อยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นในช่วงเช้า
ผลที่ออกมามันไม่ต้องใช้เวลานาน มันไม่ต้องข้ามชาติ อาทิตย์เดียวรับรองเลย
ถ้าจดไว้มันจะเห็นเลย ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ถึงแม้ว่าบางวันจะขี้เกียจ
หดหู่ด้วยความขี้เกียจ แล้วก็ทรมานใจว่า
เราจะต้องมาลำบากขนาดนี้ทีเดียวเหรอเพื่อที่จะทำให้ชีวิตมันดีขึ้น
แต่พอมันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว เขามีการวิจัยบอกว่า
ถ้าทำอะไรเป็นประจำอย่างต่อเนื่องสองอาทิตย์ มันจะกลายเป็นนิสัย
มันจะกลายเป็นความเคยชิน แต่ถ้าทำน้อยกว่านั้น มันจะเป็นความไม่แน่นอนอยู่
ก็ขอให้ตั้งเป้าไว้ละกัน สองอาทิตย์เปลี่ยนชีวิต สองอาทิตย์ที่เราจะตื่นขึ้นมา
ด้วยความตั้งใจออกกำลังกายและสวดมนต์ ลองดูว่ามันจะแก้โรคนี้ได้รึเปล่า
แล้วอย่างไรก็มาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน
เรื่องของการออกกำลังกายนี่นะ
เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของชีวิตทีเดียว
ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกว่ามันเป็นภาระของชีวิต
ความคิดแบบนั้นแหละจะสร้างภาระอย่างใหญ่หลวงให้กับเราในภายหลังนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น