ถาม : ทำไมบางคนมีอิทธิพลทำให้เวลาเราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกถึงพลังและความสดใส
ต้องมีจิตเป็นยังไงถึงเป็นแบบนี้ได้คะ?
ดังตฤณ:
ถาม : ทำไมบางคนมีอิทธิพลทำให้เวลาเราอยู่ใกล้แล้วรู้สึกถึงพลังและความสดใส
ต้องมีจิตเป็นยังไงถึงเป็นแบบนี้ได้คะ?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/xFhXYlsEpJQ
ดังตฤณ:
ดังตฤณ:
ความสดใสหรือว่าพลังเนี่ยก็มาได้หลายทาง
อย่างบางคนเนี่ยนะ ดูมีความกระตือรือร้นมาก ก็เหมือนกับว่าพลังในตัวล้นหลามนะ
พวกนี้ก็ขยัน แล้วความขยันมาจากไหน ก็ต้องมีความพอใจ มีฉันทะในงานนะถึงได้ขยัน
และพอขยันมันก็มีจิตใจฝักใฝ่จดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านไปในเรื่องอื่นง่ายนัก
ไม่วอกแวกไปในเรื่องที่จะดึงให้เป๋ออกนอกทางนะ จากนั้นก็เป็น
กลายเป็นคนที่นะลองผิดลองถูกในงานที่ตัวเองรัก จนกระทั่งเกิดวิสัยทัศน์ มีความเก่ง
มีความแตกต่างจากคนอื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการสะสมพลังนะ พลังแห่งฉันทะ วิริยะ
จิตตะ วิมังสา หรืออิทธิบาท ๔ เนี่ยนะจนกระทั่งเราเห็นปุ๊บ เรารู้สึกว่า
อยู่ใกล้แล้ว อยากกระตือรือร้น อยากทำงานในแบบที่เค้าทำแบบนั้นบ้าง
นี่ก็เรียกว่าเป็นพลังที่เห็นได้ง่ายๆนะ สำหรับคนทำงาน
หรืออย่างพลังอีกแบบหนึ่ง
ถ้าเราเคยได้มีโอกาสพบปะ หรือว่าได้ไปกราบนะ พระที่ท่านมีความสำรวมนะ
มีความสำรวมระวังอย่างดี ในเรื่องของ การกิริยา อาการต่างๆ การพูด การจา
การขยับไหวร่างกาย มีสตินะ แล้วก็เป็นพระที่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างดี มีสมาธิ
มีความผ่องใส เราก็จะสามารถรู้สึกถึงพลังอีกแบบหนึ่ง ท่านมีความขวนขวายมีความกระตือรือร้น
มีความขยันขันแข็งในเรื่องของการดูกาย ดูใจ
แล้วก็ในเรื่องของการอยู่กับอารมณ์อันไม่เป็นโทษนะ จนกระทั่งเกิดสมาธิอีกแบบหนึ่ง
เป็นพลังอีกแบบหนึ่ง คือพออยู่ใกล้ท่านแล้ว เราจะเกิดความรู้สึกว่า
พลังแบบนั้นเหนี่ยวนำให้เราเกิดความอยากจะสงบ อยากจะนิ่ง อยากจะสำรวมตามท่าน
อยากจะมีกาย วาจา และใจที่ประณีต ที่มีความสว่าง ที่มีความสงบ ความเย็นนะ
นี่ก็อันนี้ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆว่านะ
เอ่อ พลังเนี่ยมีหลายแบบ พลังในแบบที่ก่อให้เกิดกระแสความตื่นตัว ตื่นเต้น
หรือว่ากระตือรือร้นอยากทำงาน หรืออีกแบบหนึ่งก่อให้เกิดความสงบ ระงับนะ
จากความกระวนกระวาย ความฟุ้งซ่าน มันเป็นคนละประเภทกัน แต่ก็ต้องอาศัยอิทธิบาท ๔
เหมือนกัน
พูดง่ายๆว่า
ถ้าหากว่ามีความชอบใจในงานอย่างใดอย่างหนึ่ง จะทางโลกทางธรรมก็ตาม
แล้วมีความขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่ตัวเองรัก ในงานที่ตัวเองชอบ
จนกระทั่งจิตใจเนี่ยจดจ่อ เกิดความตั้งมั่นแล้วก็มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความฉลาด
มีความรอบรู้นะ ที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการทำงานที่ตัวเองรักแล้วนะ
ในที่สุดมันก็เกิดเป็นความมีพลัง ส่วนที่ว่าจะสดใส ไม่สดใส ขึ้นอยู่กับนะ
ความแตกต่างทางการคิด การพูด การทำ
อย่างบางคนเนี่ยคิดในแบบที่มันมองบวกมากๆนะ
พอบวกมากๆจิตใจมันแจ่มใสใช่มั้ย คำว่าแจ่มใส
มันก็เหมือนกับพระอาทิตย์ขึ้นในใจของตัวเอง แล้วพอพระอาทิตย์ขึ้นในใจของตัวเอง
มีความเบิกบาน มันอยากเผื่อแผ่ความเบิกบาน มันอยากกระจายความสดใสนี่ออกไปนะ
แล้วความสดใสแบบนี้เนี่ย ก็ทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกสดใส หรือว่าตาตื่นตาม
นี่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่แต่ละคนจะคิดนะ
ส่วนใหญ่แล้ว
ถ้าคำจำกัดความของความสดใสในใจคนเนี่ย มาจากนิยามง่ายๆเลยคือ เป็นคนมองโลกในแง่ดี
แล้วก็เป็นคนที่คิด พูด ทำ ออกมาจากพื้นฐานจิตใจที่มองเห็นแต่อะไรดีๆ
ไม่มองเห็นอะไรในด้านร้ายนะ
ส่วน เอ่อ คนที่จะ
ส่วนการที่เราจะเป็นคนแบบนั้นได้เนี่ยนะ ก็คือส่วนใหญ่แล้วนะ
ถ้าเราไม่เหมือนไม่เหมือนเค้า เราก็ต้องได้แรงบันดาลใจมาจากเค้าก่อน
คือเหมือนกับเราหัดเรียนดนตรีหรือว่าหัดเล่นกีฬาอย่างเนี่ย เค้าบอกว่า
ถ้าหัดกับครูที่มีความเก่งกาจ มีความสามารถสูงๆเนี่ยนะ
เราจะจดจำแม้กระทั่งวิธีขยับตัว วิธีที่ครูมองนะ มองดูอุปกรณ์เล่นนะ
หรือว่าวิธีที่ลงมือบรรเลงนะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง หรือว่ากีฬานะ
แล้วเราจะเกิดความจดจำท่าทางอิริยาบถ
หรือว่าแม้กระทั่งกระแสทางใจที่ออกมาจากครูบาอาจารย์นะที่เก่ง
มีความเก่งกาจ มีความเก่งกล้าสามารถในด้านนั้นๆเนี่ย เอ่อ
ถ้าเราสามารถที่จะเลียนแบบท่านโดยไม่รู้ตัวนะ คือจิตของเราเนี่ย
พอมีความผูกพันมีความเคารพนับถือท่าน แล้วก็อยู่ใกล้ชิดท่านเนี่ย
มันก็เหมือนกับเป็นการจูนจิตของเราเนี่ย ให้ใกล้เคียงกับความเป็นคนเก่งนะ
ไม่ว่าจะการขยับ ไม่ว่าจะการพูดการจา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก
กระทั่งความรู้สึกนึกคิดเนี่ย บางทีเราจะลอกเลียนท่านนะ
แล้วพอท่านสอนอะไรมาเราเชื่อทุกอย่าง ปฏิบัติตามทุกอย่าง มันก็เก่งตามท่านได้
อันนี้แหละ
นี่มันเป็นตัวอย่างว่า ถ้าหากเรามีแรงบันดาลใจที่แรงพอนะฮะ แล้วก็สามารถที่จะไป
เอ่อ ฟังแนวทางดำเนินชีวิต หรือว่าไปมีความขวนขวายในแบบที่ท่านสอน อย่างนี้เนี่ยนะ
ก็จะเป็นเหตุให้เรามีจิตที่สดใส เหมือนคนๆนั้นได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น