ถาม : แต่งงานแล้วแต่ตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น อยากจะทราบว่ากรณีแบบนี้
เคยเป็นแฟนหรือสามีในอดีตชาติหรือเปล่า? ทำกรรมอะไรถึงทำให้รู้สึกมีความต้องการอยากอยู่ใกล้มาก
แต่เป็นไปไม่ได้
เรื่องของอดีตกรรมก็มีส่วนนะครับที่สามารถอธิบายได้
ถ้าหากว่าผูกพันกันมาด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มันมีความเหนียวแน่นมากๆ
ก็จะทำให้คิดถึงมากๆเช่นกัน
แต่การคิดถึงกันไม่จำเป็นว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องผูกกรรมกันมาทั้งคู่
อาจจะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จ้องผูกอยู่แล้วก็ต้องถึงเวลารับกรรม
ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะ
ถ้าหากว่าในอดีตเราเคยไปหลอกคนๆนึงไว้นะ คือรู้ว่าเขาจะต้องเสน่หาเรา
จะต้องคิดถึงเรามากๆ ก็ไปยั่วไปทำให้เขาเกิดความติด ความหลงนะ แต่ใจเราไม่เอาหรอก
คนนี้กระจอก เสร็จแล้วลืมไปแล้ว ต่างฝ่ายต่างตายจากกัน กลับมาเจอกันใหม่คราวนี้
ตัวที่จะมาเล่นงานเนี่ยก็มาเล่นงานฝ่ายเราบ้าง คือมาบีบกันที่ความคิด บีบกันที่จิต
บีบกันที่ความมีอาการถวิลหานะครับ
เขาเนี่ยไม่รู้สึกอะไรเลยแต่เรานี่รู้สึกมากอะไรแบบนั้น
หรือมันเป็นไปได้อีกหลายอย่าง
อย่างเช่นว่าเคยอยู่กินกันมา แล้วก็อยู่กันมานานแต่ฝ่ายหนึ่งก็มีความรู้สึกรักใคร่
แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับอาลัยอาวรณ์ฝ่ายหนึ่ง
แต่เขาไม่เล่นด้วยเขาไปมีใจให้คนอื่น
หรือว่าไปมีความรู้สึกว่าเราไม่เหมาะกับเขาอะไรทำนองนั้น
มันก็เป็นไปได้ที่ว่าเกิดมาแล้วจะเป็นฝ่ายเราฝ่ายเดียวที่ไปคิดถึงเขา
มันมีเหตุมีปัจจัยหลายอย่าง
ที่่จะทำให้เราคิดถึงใครคนนึงอย่างไม่สามารถที่จะแกะออกจากหัวได้ อาจเป็นเหตุผลตื้นๆในปัจจุบันก็ได้
เช่นว่าเขามีวิบากด้านดีบางอย่างมาทำให้มีเสน่ห์ พวกที่มีเสน่ห์มากๆผูกใจคนได้
แล้วก็ทำให้คนคิดถึงได้ไม่เลิก
ส่วนใหญ่จะเคยชักชวนแล้วทำให้คนติดใจในการทำบุญทำกุศลนะครับ หรือว่าได้พาใครต่อใครมารู้จักกับทางดีทางกุศลทางถูกทางต้องเนี่ย
มันก็เป็นไปได้ที่จะทำให้เขาจำไม่ลืม
ลักษณะที่เป็นวิบากของคนที่ทำให้ใครต่อใครมาพบกับอะไรที่จำได้ไม่ลืม
คือจะเป็นที่ติดตาติดใจ เป็นที่เสน่หา เป็นที่ดึงดูดนะครับ
เกิดมาก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เดินไปเดินมา ฉายไปฉายมา เดี๋ยวก็มีคนมาติดเป็นพรวน
ราวกับเป็นแม่เหล็กอย่างนั้น แม่เหล็กที่มองไม่เห็นตัวไม่เห็นตนนั่นละครับ
แต่รู้สึกได้ด้วยใจ มันเกิดจากวิบากด้านดี แล้ววิบากด้านดี
ก็จะทำให้เรารู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเนื้อคู่ของเราติดตามกันมานาน
ผมเคยเห็นมาเยอะนะ เป็นการหลงข้างเดียวเนี่ย แล้วก็ไปเข้าใจไปทึกทักว่า
นี่แหละเนื้อคู่ของตัวเอง มันมีความรู้สึกเป็นอื่นไปไม่ได้เลย มันหลงเหลือเกิน
แต่ดูดีๆแล้วก็คือว่า มีลักษณะบางอย่างที่น่าติดใจอย่างเช่นหล่อมาก สวยมาก
แล้วก็มีเสน่ห์บางอย่างที่จะทำให้คิดถึงนะ อยากได้มาอยู่ใกล้ๆ อยากฟังเสียงเขา อยากจะได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาใส่
หรือว่าอยากจะชื่นชมกับรูปลักษณะสง่างามสูงส่ง
หรือถ้าเป็นผู้หญิงก็เอวองค์อรชรอ้อนแอ้น อะไรแบบที่เราปักใจชอบเนี่ย
มันเป็นปัจจัยที่มากระทบหูกระทบตาง่ายๆนี่แหละ
แต่ว่าสามารถที่จะยึดติดเป็นยางเหนียวได้ไม่เลิก แต่ในกรณีนี้นะก็คือที่เป็นโจทย์ตั้งมา
จำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ความรู้สึกรักมาแบบไม่รู้ตัว
ก็อาจจะเข้าข่ายที่ว่าเรามีอดีตที่เคยทำอะไรบางอย่างกับเขามา
ทีนี้คำถามสำคัญคือว่า
จะทำบุญหรือว่าจะทำอย่างไร ที่จะตัดใจจากคนประเภทนี้ได้? คือว่าใจเราเนี่ยเข้าไปหลงไปยึดติดแล้ว
อันนี้ผมเข้าใจนะ คือหลายๆคนพอเกิดความรู้สึกยึดติดเหนียวแน่นขึ้นมา
มันเหมือนหาทางออกไม่ได้ดิ้นไม่หลุด แล้วก็รู้สึกว่าแต่ละนาทีมันทรมานใจ
เพราะว่าคิดถึงอยู่ตลอด แล้วก็อยากได้ อยากได้มากๆนะ มันพุ่งมันทะยานออกไป
อยากจะเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ ทรัพย์สมบัติหรือว่าคนใกล้ตัวที่มีอยู่
มันรู้สึกว่าไม่มีค่าเลย ไม่อยากเอา ไม่อยากเห็น
ไม่อยากจะได้อยู่ใกล้เท่ากับคนที่เราถวิลหา
อันนี้ก็สามารถจะทำบุญในแบบพุทธศาสนา
แต่เป็นบุญขั้นสูงสุดนะ ไม่ใช่บุญในลักษณะการให้ทานเฉยๆ การให้ทานที่เป็นไปได้
ที่จะทำให้มันแบ่งเบาลงไปได้ก็คือว่า ทำบุญแต่ละครั้ง เราอธิษฐานขอให้ใจของเราเนี่ยสามารถสละสิ่งที่ยึดติดออกไปได้ง่ายๆ
เหมือนกับทรัพย์ที่ให้เป็นทานนี้ หรือว่าไปปล่อยสัตว์ปล่อยปลาให้ชีวิตเขา
ให้ความเป็นไทแก่เขาก็อธิษฐานว่า ขอให้ใจเราเป็นไท
แล้วก็มีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับที่เราปล่อยสัตว์ให้ได้รับอิสรภาพ อย่างนี้มันก็ช่วยได้บ้าง
แต่ว่าไม่มากนัก คือมันช่วยได้ในระดับหนึ่ง ช่วยให้ใจรู้สึกว่าสละเป็น
ช่วยให้ใจรู้สึกว่ามันมีความเป็นอิสระบ้าง มันมีความว่าง มันมีความสว่างบ้าง
แต่เดี๋ยวๆมันก็จะกลับมาตรึกนึกอีก มันก็จะมานึกถึงอีก
อันนี้เราก็เอาบุญในแง่ของศีลมากั้น
ว่าถ้าหากเรามีคู่ของเราแล้วเนี่ย เราจะไม่ออกนอกรั้วที่มันกั้นขวางอยู่เป็นอันขาด
ตกลงกับตัวเองไว้เลยว่าหัวเด็ดตีนขาดเราไม่ข้ามรั้วออกไปทำผิดนะครับ
อันนี้ก็ในแง่ของบุญของศีล
ทีนี้บุญขั้นสูงสุดที่ผมพูดถึงเนี่ยก็คือ ‘การเจริญสติ’
การเจริญสติที่จะทำให้เราเป็นอิสระจากคนที่เราไม่ควรคิดถึงได้นี่นะ
มันต้องใช้เวลากันทั้งวันทั้งคืน
ต่อวัน ต่อหนึ่งวัน คิดถึงหรือว่ามีความกระวนกระวายแค่ไหนก็ตามกี่ครั้งก็ตาม
ตกลงกับตัวเองไว้เลยว่าจะเอามาใช้เจริญสติ วิธีที่จะเจริญสตินะ ในการเห็นตัวเองคันอกคันใจ
รู้สึกว่ามันมีอาการทะยานแล่นออกไปไม่เลิก ก็คือเห็นหน้าตาของอาการทะยานให้ออก
เห็นหน้าตาของความคันอกคันใจ เห็นหน้าตาของอาการรุ่มร้อนกระวนกระวาย ไม่ว่าจะเกิดอาการอะไรขึ้น
อาการไหนปรากฏเด่นจากการคิดถึงเขาถวิลหาเขา ก็ให้ดูอาการนั้น ถ้าอาการทางกายปรากฏเด่นอย่าง
เช่นมีความรุ่มร้อนกระสับกระส่าย เราก็ให้เห็นว่า เออ มีอาการรุ่มร้อนแบบนี้นะ
มีอาการกระสับกระส่ายแบบนี้ แล้วสังเกตเอาว่า มันกินเวลานานแค่ไหน
จะกระสับกระส่ายเป็นชั่วโมงให้มันกระสับกระส่ายไป แต่เราสังเกตอยู่ว่า เออเนี่ย อาการกระสับกระส่ายนี้ผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้ว
มันค่อยทุเลาลง
หรือถ้าหากเห็นแต่อาการที่รู้สึกเหมือนใจมันพุ่งออกไปนะ
มียางเหนียวมีแม่เหล็กดึงดูดออกไป
มีความรู้สึกเหมือนจะเป็นจะตายราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝดอะไรแบบนั้นเนี่ยนะ
ถ้าหากว่าไม่ได้มามันรู้สึกเหมือนจะขาดใจ ให้ดูอาการเหมือนจะขาดใจนั่น
ให้ดูอาการเหมือนกับอดคิดไม่ได้ ยุติไม่ได้ ดูว่ามันมีความรู้สึกเหนียวเหนอะอย่างไร
เหมือนยางเหนียวที่มันติดมันยื่นออกไป มีอาการแค่ไหนรู้ไปอย่างนั้น
ยอมรับไปอย่างนั้น เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ยอมรับไปอย่างนั้น
เพื่อจะสังเกตว่ายางเหนียวนั้นคล้ายๆกับหนังสติ๊กครับ
เพียงแต่ว่าเป็นหนังสติ๊กที่ทนได้ยาก มันยืดออกไป แต่เดี๋ยวนึงมันจะต้องอ่อนกำลังลง
แล้วก็หดตัวลงมา หรือเดี๋ยวมันก็จะยื่นออกไปอีก เป็นอย่างนั้นแล้วๆเล่าๆ
ถ้าหากว่าเราไปตรึกนึกช่วยเจ้ายางเหนียวตัวนั้นนะ
ไปคิดถึงแต่ในแง่ดี ไปคิดถึงแต่ในแง่ที่น่าติดใจ
มันก็จะยิ่งเป็นอาหารหล่อเลี้ยงให้ยางเหนียวนั้นมีกำลังยึดมากขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าหากว่าทุกครั้งที่ยางเหนียวเกิด แล้วเราเห็นว่าอาการของยางเหนียวเนี่ย
ไม่มีอะไรเลย นอกจากทำให้ใจยืดออกไป พุ่งออกไป ทะยานออกไป อยากจะแล่นออกไป
ในที่สุดเดี๋ยวๆมันก็กลับมา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
เห็นความไม่เที่ยงบ่อยๆ ไม่ว่าจะเกิดอาการทางใจหรือเกิดอาการทางกายอย่างไรก็ตาม
ในที่สุดแล้วคุณจะพบว่าจิตมีกำลัง มีสติ มีความสามารถที่จะมองว่า
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องอาการทางใจที่ปรุงแต่งไปเองทั้งสิ้น
เป็นเรื่องลวงโลก เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกโดนลวงมา
แต่จะยกเว้นก็คือเราผู้เจริญสติเป็น!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น