วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

๓.๘๒ คนตายมาเข้าฝันได้จริงไหม?

ถาม : ถ้าคนที่เรารักไปอยู่บนสวรรค์ เขาจะห่วงเรามากหรือน้อยอย่างไร?
รับฟังทางยูทูบ : https://youtu.be/-rpaJ6zmCGA
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

ดังตฤณ: 
คำถามคงหมายถึงถ้าหากว่าไปเป็นเทวดานางฟ้าแล้วเนี่ยนะ เขาจะย้อนกลับมามีความรู้สึกกับคนในโลกนะ ที่เคยเป็นญาติ ที่เคยมีความสนิทชิดเชื้อกันมากน้อยแค่ไหนนะ คงจะเป็นแบบนั้นที่เป็นโจทย์ตั้งมา

ก็อย่างนี้แล้วกัน คือเคยมีคนถามคล้ายๆอย่างนี้ แล้วก็มีการตอบไปนะครับ ที่มันคล้ายคลึงกัน น่าจะเข้าเป้ากับคำถามนี่แหละ คือว่า ถ้าสมมุติสวรรค์มีจริง ทำไมญาติๆเนี่ยนะ ถึงไม่กลับมาบอก ถึงไม่กลับมาคุยกันนะ? ก็มีผู้ตอบไว้ว่า ถ้าหากว่าขึ้นจากหลุมคูถมูตรได้แล้วเนี่ยนะ คือหมายความว่า ถ้ามีถังที่เต็มอุดมไปด้วยอึฉี่นะครับ แล้วก็มีคนที่ลอยคออยู่ในนั้นเยอะแยะนะ เคยมีความสนิทคุ้นเคยกันอยู่ในถังคูถถังมูตร แล้วมีใครสักคนหลุดขึ้นไปนะ อยู่ในที่ที่แห้งสบายนะ เขาจะมีแก่ใจอยากกลับมาที่ถังคูตมูตรนั้นอีกไหมนะ จริงๆแล้วอันนี้มันเป็นคำเปรียบเปรยเท่านั้นแหละ มันไม่ถึงขั้นที่ว่าจะกลับมาไม่ได้ มันน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น เพราะว่าคนทั่วโลกนะครับก็มีประสบการณ์รายงานตรงกันว่า ได้พบกับญาติที่ล่วง ที่สิ้นชีวิตไปแล้วเนี่ย กลับมาพูดคุยด้วย บางทีก็มาแสดงให้เห็นฉากสวรรค์ นิมิตสวรรค์อะไรต่างๆ แต่ว่าไม่ใช่ทุกราย ซึ่งพอไม่ใช่ทุกรายเนี่ย มันก็เหมือนกับว่า ไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นแค่อุปาทานของคนที่คิดถึงญาติมากเกินไปหรือเปล่านะ ถ้าหากว่ากลับมากันทุกคนอย่างนี้ยืนยันได้เป็นวิทยาศาสตร์เลยว่านะญาติพี่น้องที่ล่วงไปแล้วเนี่ยนะ กลับมาหาญาติกันทุกคนนะ เป็นของแน่นอนว่าสวรรค์มีจริงนะ

การที่เราจะไปมองนะครับว่า เขาขึ้นไปแล้วจะยังมีความห่วง มีความหวง มีความอาลัยยึดติดยินดีกันแค่ไหนเนี่ย ก็ดูจากตรงนี้แหละว่า เขาสามารถที่จะมีความรู้สึกเท่าเดิมหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีความรู้สึกเท่าเดิมนะ ก็คงจะมีความพยายามที่จะติดต่อกลับมาอีก แล้วถึงแม้ว่าจะอยากติดต่อมา มีความพยายามที่จะติดต่อมา ก็ต้องตั้งข้อแม้อีกว่านะ มีฤทธิ์มากพอหรือเปล่า ซึ่งเทวดาแต่ละตนเนี่ยนะ ก็มีบอกไว้ในพระคัมภีร์นะครับว่าฤทธิ์ไม่เท่ากัน ความสามารถต่างๆไม่เท่ากัน ไม่ใช่ว่าอยากจะมา แล้วได้มาเสมอไป มันมีเรื่องของความสามารถที่จะสื่อสารหรือว่าความเหมาะสมที่กรรมและวิบากมันเปิดช่องให้นะ

ส่วนใหญ่แล้วเท่าที่มีการบอกเล่ากันมานะ ทั่วโลกเนี่ย เวลาคนที่ล่วงผ่านโลกนี้ไปแล้วจะกลับมาติดต่อกับญาติอีกเนี่ย มักจะเข้ามาในช่องทางของความฝัน ซึ่งการที่เข้ามาในช่องทางของความฝันเนี่ย มันมีความเป็นไปได้สูงที่คนฟังเนี่ยจะทึกทักจะมีความรู้สึกว่าคงฝันเหลวไหลไปเอง มันเป็นช่องทางที่ทำให้ไม่มีใครเนี่ย สามารถแน่ใจได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง เพราะฝันกันทุกคืน แล้วฝันเนี่ยก็เป็นสิ่งที่ลอยมาแล้วลอยไป ไม่สามารถเอาอะไรมายืนยันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราบอกเล่าให้คนอื่นฟังได้

การที่เราฝันถึงญาติที่ล่วงไปทุกคืนนะ แล้วเกิดความรู้สึกว่า ในฝันเนี่ยเต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัย หรือว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยังยึดติดไม่ต่างกับตอนยังมีชีวิตอยู่เนี่ย ก็อาจจะเป็นความห่วงหรือว่าความอาลัยของเราเองก็ได้นะ นี่แหละ ตรงนี่แหละที่มันเลยไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า การที่ญาติไปอยู่บนสวรรค์แล้วเขาจะห่วงเรา หรือว่าเราเป็นฝ่ายอยากจะให้เขากลับมาเองนะ

แต่ถ้าตอบตามเนื้อผ้านะครับ ในพระคัมภีร์เนี่ยก็มีบอกไว้เหมือนกันว่าเวลาที่ญาติสิ้นชีวิตไปแล้วไปอยู่บนสวรรค์นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่พี่น้องเสมอไป บางทีเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตรที่เหมือนกับปฏิบัติธรรมมาด้วยกันนะครับ ก็มีความห่วงใยมาก บางคนเนี่ยไปอยู่ถึงพรหมโลก มองย้อนกลับมาว่า เพื่อนสหธรรมิกที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกันเนี่ย ยังอยู่ดี หรือว่าปฏิบัติกันย่อหย่อน มีความพากเพียรเพียงใดนะ พอเห็นเพื่อนย่อหย่อนไม่มีความพากเพียรก็ลงมากระตุ้นเตือน หรือลงมาช่วย หรือแม้กระทั่งว่านะ เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกันเนี่ย ตายไปแล้วไปอยู่ภพอื่นนะ หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยังตามไปห่วง ตามไปตักเตือน ตามไปช่วยเหลือนะครับ ในยามที่พรรคพวกเนี่ยเกิดความเห็นผิด

อย่างที่ในอรรถกถาเนี่ยก็จะมีเล่าเรื่องของพระพาหิยะ ซึ่งไปปฏิบัติธรรมกับพรรคพวกสมัยนั้นเนี่ยท่านเห็นว่า พระพุทธศาสนาในยุคครั้งกระโน้นเนี่ย เสื่อมลงทุกทีเสื่อมถอยลงทุกที ก็เลยเหมือนกับพากันไปอยู่บนยอดเขา ก็ ๗ ท่านนะ แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า ถ้าหากยังไม่บรรลุอรหัตผลก็จะไม่ลงจากเขา ให้ตายไปเลยนะ ถ้าจะลงจากเขาก็ด้วยวิธีเดียวคือ สำเร็จอภิญญาได้อรหัตผลแล้วก็เหาะลงไป เนี่ยอันนี้เป็นความตั้งใจ เสร็จแล้วก็มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้แค่องค์เดียวหรืออะไรทำนองนี้นะ และส่วนอีกท่านหนึ่งก็ไปเป็นพระอนาคามีอยู่บนสุทธาวาสบนชั้นพรหมโลกนะครับ ก็มองย้อนกลับมาเห็นว่า พรรคพวกที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจายแตกตายแยกย้ายกันไปตามวาสนา แล้วก็มีท่านพาหิยะเนี่ยแหละที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นะ แล้วก็เหมือนกับไปหลอกลวงชาวบ้านเขาด้วยการที่ไปสมมุติตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์ คือเรือแตก แล้วก็เหมือนกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ชาวบ้านเห็นก็นึกว่า โอ้! ว่าปลงได้แล้วนะ ไม่มีเสื้อ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้านะ ทั้งๆที่รูปร่างหน้าตาดี ก็นึกว่าเป็นพระอรหันต์กัน ท่านเห็นชาวบ้านมากราบไหว้บูชาก็สวมรอยบอกว่า ข้านี่แหละที่เป็นพระอรหันต์จริง เพื่อนอยู่บนพรหมโลกก็มาตักเตือนนะครับว่าทำแบบนี้มันผิด มันไม่ถูกต้องนะ รวมทั้งบอกด้วยว่า พระพุทธเจ้าองค์จริงเนี่ยอุบัติแล้ว แล้วก็ให้ไปเรียนธรรมะกับท่าน


นี่ อันนี้ก็จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงนะครับว่า พระพุทธศาสนาชื้ให้เห็นนะ แม้ว่าจะตายไปแล้ว แล้วก็ไปอยู่บนสวรรค์หรือว่าพรหมโลก มีสิทธิ์ที่จะมีความห่วง มีความอาลัย มีความปรารถนาดีกับผู้ที่อยู่ข้างหลังนะ ทิ้งไว้บนโลกนี้ หรือแม้กระทั่งว่าจะข้ามภพข้ามชาติไปแล้ว ไปเป็นอื่นแล้ว ก็ยังตามไปดูแลได้ อันนี้ก็เป็นคำตอบนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น