ถาม : ถ้าคนที่เรารักไปอยู่บนสวรรค์
เขาจะห่วงเรามากหรือน้อยอย่างไร?
รับฟังทางยูทูบ
: https://youtu.be/-rpaJ6zmCGA
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ดังตฤณ:
ดังตฤณวิสัชนา ๒๕๕๕ การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ดังตฤณ:
คำถามคงหมายถึงถ้าหากว่าไปเป็นเทวดานางฟ้าแล้วเนี่ยนะ
เขาจะย้อนกลับมามีความรู้สึกกับคนในโลกนะ ที่เคยเป็นญาติ
ที่เคยมีความสนิทชิดเชื้อกันมากน้อยแค่ไหนนะ คงจะเป็นแบบนั้นที่เป็นโจทย์ตั้งมา
ก็อย่างนี้แล้วกัน
คือเคยมีคนถามคล้ายๆอย่างนี้ แล้วก็มีการตอบไปนะครับ ที่มันคล้ายคลึงกัน
น่าจะเข้าเป้ากับคำถามนี่แหละ คือว่า ถ้าสมมุติสวรรค์มีจริง ทำไมญาติๆเนี่ยนะ
ถึงไม่กลับมาบอก ถึงไม่กลับมาคุยกันนะ? ก็มีผู้ตอบไว้ว่า
ถ้าหากว่าขึ้นจากหลุมคูถมูตรได้แล้วเนี่ยนะ คือหมายความว่า ถ้ามีถังที่เต็มอุดมไปด้วยอึฉี่นะครับ
แล้วก็มีคนที่ลอยคออยู่ในนั้นเยอะแยะนะ เคยมีความสนิทคุ้นเคยกันอยู่ในถังคูถถังมูตร
แล้วมีใครสักคนหลุดขึ้นไปนะ อยู่ในที่ที่แห้งสบายนะ
เขาจะมีแก่ใจอยากกลับมาที่ถังคูตมูตรนั้นอีกไหมนะ
จริงๆแล้วอันนี้มันเป็นคำเปรียบเปรยเท่านั้นแหละ
มันไม่ถึงขั้นที่ว่าจะกลับมาไม่ได้ มันน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น
เพราะว่าคนทั่วโลกนะครับก็มีประสบการณ์รายงานตรงกันว่า ได้พบกับญาติที่ล่วง
ที่สิ้นชีวิตไปแล้วเนี่ย กลับมาพูดคุยด้วย บางทีก็มาแสดงให้เห็นฉากสวรรค์
นิมิตสวรรค์อะไรต่างๆ แต่ว่าไม่ใช่ทุกราย ซึ่งพอไม่ใช่ทุกรายเนี่ย
มันก็เหมือนกับว่า ไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นแค่อุปาทานของคนที่คิดถึงญาติมากเกินไปหรือเปล่านะ
ถ้าหากว่ากลับมากันทุกคนอย่างนี้ยืนยันได้เป็นวิทยาศาสตร์เลยว่านะญาติพี่น้องที่ล่วงไปแล้วเนี่ยนะ
กลับมาหาญาติกันทุกคนนะ เป็นของแน่นอนว่าสวรรค์มีจริงนะ
การที่เราจะไปมองนะครับว่า
เขาขึ้นไปแล้วจะยังมีความห่วง มีความหวง มีความอาลัยยึดติดยินดีกันแค่ไหนเนี่ย
ก็ดูจากตรงนี้แหละว่า เขาสามารถที่จะมีความรู้สึกเท่าเดิมหรือเปล่า
ถ้าหากว่ามีความรู้สึกเท่าเดิมนะ ก็คงจะมีความพยายามที่จะติดต่อกลับมาอีก
แล้วถึงแม้ว่าจะอยากติดต่อมา มีความพยายามที่จะติดต่อมา ก็ต้องตั้งข้อแม้อีกว่านะ
มีฤทธิ์มากพอหรือเปล่า ซึ่งเทวดาแต่ละตนเนี่ยนะ ก็มีบอกไว้ในพระคัมภีร์นะครับว่าฤทธิ์ไม่เท่ากัน
ความสามารถต่างๆไม่เท่ากัน ไม่ใช่ว่าอยากจะมา แล้วได้มาเสมอไป
มันมีเรื่องของความสามารถที่จะสื่อสารหรือว่าความเหมาะสมที่กรรมและวิบากมันเปิดช่องให้นะ
ส่วนใหญ่แล้วเท่าที่มีการบอกเล่ากันมานะ
ทั่วโลกเนี่ย เวลาคนที่ล่วงผ่านโลกนี้ไปแล้วจะกลับมาติดต่อกับญาติอีกเนี่ย
มักจะเข้ามาในช่องทางของความฝัน ซึ่งการที่เข้ามาในช่องทางของความฝันเนี่ย
มันมีความเป็นไปได้สูงที่คนฟังเนี่ยจะทึกทักจะมีความรู้สึกว่าคงฝันเหลวไหลไปเอง
มันเป็นช่องทางที่ทำให้ไม่มีใครเนี่ย สามารถแน่ใจได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง
เพราะฝันกันทุกคืน แล้วฝันเนี่ยก็เป็นสิ่งที่ลอยมาแล้วลอยไป
ไม่สามารถเอาอะไรมายืนยันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราบอกเล่าให้คนอื่นฟังได้
การที่เราฝันถึงญาติที่ล่วงไปทุกคืนนะ
แล้วเกิดความรู้สึกว่า ในฝันเนี่ยเต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัย หรือว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยังยึดติดไม่ต่างกับตอนยังมีชีวิตอยู่เนี่ย
ก็อาจจะเป็นความห่วงหรือว่าความอาลัยของเราเองก็ได้นะ นี่แหละ
ตรงนี่แหละที่มันเลยไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า การที่ญาติไปอยู่บนสวรรค์แล้วเขาจะห่วงเรา
หรือว่าเราเป็นฝ่ายอยากจะให้เขากลับมาเองนะ
แต่ถ้าตอบตามเนื้อผ้านะครับ
ในพระคัมภีร์เนี่ยก็มีบอกไว้เหมือนกันว่าเวลาที่ญาติสิ้นชีวิตไปแล้วไปอยู่บนสวรรค์นะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่พี่น้องเสมอไป บางทีเป็นเพื่อน
เป็นกัลยาณมิตรที่เหมือนกับปฏิบัติธรรมมาด้วยกันนะครับ ก็มีความห่วงใยมาก
บางคนเนี่ยไปอยู่ถึงพรหมโลก มองย้อนกลับมาว่า
เพื่อนสหธรรมิกที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกันเนี่ย ยังอยู่ดี หรือว่าปฏิบัติกันย่อหย่อน
มีความพากเพียรเพียงใดนะ พอเห็นเพื่อนย่อหย่อนไม่มีความพากเพียรก็ลงมากระตุ้นเตือน
หรือลงมาช่วย หรือแม้กระทั่งว่านะ เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกันเนี่ย ตายไปแล้วไปอยู่ภพอื่นนะ
หรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยังตามไปห่วง ตามไปตักเตือน ตามไปช่วยเหลือนะครับ
ในยามที่พรรคพวกเนี่ยเกิดความเห็นผิด
อย่างที่ในอรรถกถาเนี่ยก็จะมีเล่าเรื่องของพระพาหิยะ
ซึ่งไปปฏิบัติธรรมกับพรรคพวกสมัยนั้นเนี่ยท่านเห็นว่า พระพุทธศาสนาในยุคครั้งกระโน้นเนี่ย
เสื่อมลงทุกทีเสื่อมถอยลงทุกที ก็เลยเหมือนกับพากันไปอยู่บนยอดเขา ก็ ๗ ท่านนะ
แล้วก็ตั้งใจไว้ว่า ถ้าหากยังไม่บรรลุอรหัตผลก็จะไม่ลงจากเขา ให้ตายไปเลยนะ
ถ้าจะลงจากเขาก็ด้วยวิธีเดียวคือ สำเร็จอภิญญาได้อรหัตผลแล้วก็เหาะลงไป
เนี่ยอันนี้เป็นความตั้งใจ
เสร็จแล้วก็มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้แค่องค์เดียวหรืออะไรทำนองนี้นะ
และส่วนอีกท่านหนึ่งก็ไปเป็นพระอนาคามีอยู่บนสุทธาวาสบนชั้นพรหมโลกนะครับ
ก็มองย้อนกลับมาเห็นว่า
พรรคพวกที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจายแตกตายแยกย้ายกันไปตามวาสนา
แล้วก็มีท่านพาหิยะเนี่ยแหละที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์นะ
แล้วก็เหมือนกับไปหลอกลวงชาวบ้านเขาด้วยการที่ไปสมมุติตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์
คือเรือแตก แล้วก็เหมือนกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ชาวบ้านเห็นก็นึกว่า โอ้!
ว่าปลงได้แล้วนะ ไม่มีเสื้อ ไม่ต้องใส่เสื้อผ้านะ ทั้งๆที่รูปร่างหน้าตาดี
ก็นึกว่าเป็นพระอรหันต์กัน ท่านเห็นชาวบ้านมากราบไหว้บูชาก็สวมรอยบอกว่า
ข้านี่แหละที่เป็นพระอรหันต์จริง
เพื่อนอยู่บนพรหมโลกก็มาตักเตือนนะครับว่าทำแบบนี้มันผิด มันไม่ถูกต้องนะ
รวมทั้งบอกด้วยว่า พระพุทธเจ้าองค์จริงเนี่ยอุบัติแล้ว
แล้วก็ให้ไปเรียนธรรมะกับท่าน
นี่ อันนี้ก็จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงอย่างไรก็แล้วแต่
แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงนะครับว่า พระพุทธศาสนาชื้ให้เห็นนะ
แม้ว่าจะตายไปแล้ว แล้วก็ไปอยู่บนสวรรค์หรือว่าพรหมโลก มีสิทธิ์ที่จะมีความห่วง
มีความอาลัย มีความปรารถนาดีกับผู้ที่อยู่ข้างหลังนะ ทิ้งไว้บนโลกนี้
หรือแม้กระทั่งว่าจะข้ามภพข้ามชาติไปแล้ว ไปเป็นอื่นแล้ว ก็ยังตามไปดูแลได้
อันนี้ก็เป็นคำตอบนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น