วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตา - 02 ช่วงสวดมนต์ร่วมกันและแผ่เมตตา

สวดมนต์ร่วมกัน

 

** ตั้งนะโมสามจบ สวดมนต์บทอิติปิโสฯ ร่วมกัน **

 

ดังตฤณ : ดูนะ ลักษณะที่เรานั่ง คอตั้งหลังตรง แล้วก็พนมมืออยู่นะครับ

 

ถ้าเราดูฝ่ามือที่ประกบกัน 

เป็นที่ตั้งของอวัยวะ ส่วนที่คล้ายกับดอกบัว ถวายเป็นพุทธบูชา

ร่วมกับแก้วเสียง ที่เราเปล่งเหมือนกับเปล่งวาจา สดุดีคุณพิเศษ

ของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ 

 

เมื่อกล่าววาจาสดุดี สิ่งที่เป็นที่เคารพสูงสุด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรากราบไหว้บูชา ก็เหมือนกับมีเศียรเกล้านี้ ที่นอบนบไว้นะ ให้อยู่เหนือเศียร 

 

เราจะมีความรู้สึกถึง ความศักดิ์สิทธิ์

และความรู้สึกถึงสิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น

ถ้าหากว่า ใจเราแนบเข้าไป

มีความสว่าง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ก็ราวกับว่าจิตของเรานี่ จะมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเสียเอง 

 

ความศักดิ์สิทธิ์ ความสว่าง ความกว้าง

ความรู้สึกว่า มีความโปร่ง ความเบา

ลักษณะจิตแบบนี้ จะหลับตา หรือว่าลืมตาก็ตาม

เราจะรู้สึกถึง การแผ่ การขยายออกไป 

ขอบเขตของจิต เหมือนจะแผ่กว้างออกไป 

 

เรารู้สึกถึงตัวที่นั่งนี้ ท่านั่งนี้นะครับ ที่เป็นวัตถุแข็งๆ

คอตั้งตรงอยู่ได้ ก็เพราะว่า มีโครงกระดูกยกตั้งขึ้น

แล้วก็โครงกระดูกนี้ ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ

 

เราสามารถรู้สึกได้ถึงอาการนั่งนี้

ที่เป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล เฉพาะของเราอยู่ 

และความเป็นศูนย์กลางจักรวาลนี้ 

มีพื้นที่รอบตัวที่ ว่างๆ อยู่ 

 

ถ้าหากเรารู้สึกถึงพื้นที่รอบตัว ที่ว่างๆ อยู่ได้นะ

ทอดสายตาไปสบายๆ เหมือนกับมองตรงไปขอบฟ้า 

รู้สึกว่า ใจเปิดออก รู้สึกว่า พื้นที่ว่างรอบตัวนี่ ถูกสัมผัสได้

ด้วยใจที่มีอาการ มีลักษณะแผ่ออกไป

 

อันนี้แหละ ที่ใครจะมีความสุขแค่ไหนก็ตาม

จะเป็นความสุขบางๆ ความสุขอ่อนๆ

หรือว่าเป็นความสุขที่เป็นรูปเป็นร่าง เป็นตัวเป็นตน

แผ่กว้างออกไปก็ตาม 

 

ความสุขแบบนี้แหละ

ที่เป็นลักษณะของจิตที่แผ่ออก เป็นเมตตา 

เมื่อเราตั้งความคิดนิดเดียวว่า

เราจะให้ความสุขแบบนี้ 

เหมือนกับความสุข ที่เป็นทะเลแห่งความสุขนี่

ท่วมทับไปทั้งโลก 

หรือใครจะรู้สึกเหมือนกับ เป็นบ่อน้ำน้อย 

หรือเป็นความสุขระดับที่ แผ่ออกไปถึงขอบฟ้า หรือแผ่ออกไปทั่วจักรวาล

 

จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม เท่าที่คุณภาพของจิต จะเอื้อให้รู้สึกอยู่ตามจริงนี่ 

เราแค่คิดนิดเดียว ะว่า จะมีผู้ใดก็ตาม 

รู้อยู่พร้อมกับเรานี้ .. จำนวนประมาณพันคน

หรือว่า รู้อยู่กับเรา โดยที่

ไม่มีอายตนะทางหู อายตนะทางตาแบบมนุษย์

 

ขอเพียงรับรู้ได้ ถึงความสุขความสว่างที่แผ่กว้างออกไป 

ก็จงได้รับความสุขนี้ ได้รับกุศลธรรมนี้ ได้รับบุญบารมีนี้ 

เสมอกันกับเรา 

 

อย่างนี้นะ ลักษณะที่ใจของเราแผ่ออกไป แล้วมอบให้ 

ในแบบที่ เราไม่หวงไว้

ในแบบที่ เราจะให้คนอื่นได้มีความสุขตาม

เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตาในแบบ ฉันให้เธอ 

 

ความสุขที่เกิดขึ้น จะมีมากหรือน้อยไม่สำคัญ

แต่อย่างน้อย เราเข้าใจทิศทางว่า

การแผ่เมตตา แบบเอาความสุขที่เกิดขึ้นจริงในการทำบุญ

เช่นสวดมนต์ .. แผ่ออกไป ลักษณะเป็นแบบนี้ 

 

รู้สึกสัมผัสถึงที่ว่างได้ คือมีสมาธิ

อย่างน้อย เป็นสมาธิอ่อน

ที่สามารถสัมผัสพื้นที่ว่างรอบตัวได้ 

แล้วก็รู้สึกว่า ที่ว่างรอบตัว

มีความสุขของเราที่นิ่มนวล แล้วก็มีความสว่าง

 

ไม่จำเป็นต้องสว่างแบบนีออน หรือว่าแสงไฟ

แบบที่เราเห็นด้วยตาเปล่า

แต่รู้สึกสว่าง กระจ่างออกมาจากกลางใจ

ที่มีความเบา ที่มีความว่างจากโทสะ 

 

ลักษณะของใจที่เป็นตัวตั้ง

มีความสุข มีความว่าง มีความเบา 

ปราศจากโทสะอย่างนี้

เวลาที่เราเอาไปใช้ในสถานการณ์จริง ในชีวิตประจำวัน 

ด้วยต้นทุนแบบนี้

เวลาเราโกรธใคร เราจะแผ่เมตตาแบบพระพุทธเจ้าสอนได้

 

พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างไร?

 

ท่านสอนว่า .. โดยที่เรามีทุนอยู่ก่อนนะ ถึงจะเห็นนะ 

มีความสุข มีความเบาจากการแผ่เมตตา หลังทำบุญแบบนี้

 

เวลาที่อยู่ในชีวิตจริง ในชีวิตประจำวัน

แบบที่ไม่สามารถมา ตั้งท่าทำสมาธิ

ไม่สามารถมาตั้งท่า ทำบุญสวดมนต์ได้

 

ถ้าหากว่าเราโกรธใครขึ้นมา

พระพุทธเจ้าสอนว่า ให้พิจารณาว่าอาการโกรธแบบนั้น

อาการเร่าร้อน ทุรนทุราย หรือว่ามีความอึดอัด เคียดแค้น

มีความดำมืด

เราสามารถมองเห็นได้ว่า นั่นเป็นจิตอีกแบบหนึ่ง 

 

เป็นจิตแบบที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหมือนคนป่วย 

เป็นโรค .. พูดง่ายๆ เป็นโรคจิต 

 

ทางพุทธเรา แม้แต่อาการแค่โกรธแค้น อาฆาตขุ่นเคืองเก็บไว้

มีความอัดอั้น อยากจะระบาย อยากจะทำลายคู่ต่อสู้นี่ 

ทางพุทธ ถือว่าเป็นโรคจิตแล้วนะ

ทางธรรม มองแบบนี้

 

แต่ว่าทางโลก มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไร

ก็จิตยังปกติอยู่ โกรธได้อยู่ ก็ดีแล้วนะ

ไม่อย่างนั้น ถ้าไม่โกรธเลย แบบนี้ผิดปกติหรือเปล่า

 

ทางธรรมไม่ใช่มองอย่างนั้นนะครับ

ทางธรรมมองว่า เป็นอาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง 

 

ถ้าป่วยยืดเยื้อ ป่วยแบบที่

ไม่สามารถถอนจากความโกรธ หรือความทุรนทุรายได้เลย

อย่างนั้น ทางโลกเขาถึงจะถือว่าเป็นบ้า หรือว่าเป็นโรคจิตขนานแท้

 

แต่ทางธรรมนี่ แม้กระทั่งว่ามีอาการพยาบาทอยู่ ผูกใจเจ็บอยู่นี่

ไม่ใช่แล้ว ไม่ดีแล้ว ไม่ปกติแล้ว เป็นโรคจิตแล้ว

 

เมื่อพิจารณาอยู่ว่า เรากำลังเป็นโรคจิต

ณ ขณะที่คิดถึงใครด้วยความอาฆาตแค้นก็ดี

หรือว่ากำลังคุมแค้น ในขณะที่เกิดเหตุการณ์สดๆ เลยนะ

ใครมายั่วให้โมโห แล้วรู้สึกเป็นฟืนเป็นไฟ ห้ามไม่ได้นี่

ท่านให้มองเลยว่า กำลังมีอาการป่วยทางจิตอยู่ 

 

คนที่เคยแผ่เมตตามาก่อน จะด้วยหลังทำบุญ 

ทำสังฆทาน หรือว่าจะสวดมนต์แบบเมื่อกี้

แล้วเคยมีความสุขจากการแผ่เมตตา แผ่ความสุขให้คนอื่นมาก่อน

จะสามารถเปรียบเทียบได้ง่ายๆ ว่า

จริงๆ เวลาที่ใจเราแผ่ ใจเราเปิดกว้าง 

จะไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่อาการที่เหมือนกับ จิต ถูกขยุ้ม

ขยำให้ยูยี่ ให้เป็นก้อนๆ อึดอัด

 

หรือว่า เหมือนเกิดภาวะหลุมดำขึ้นมา

ดึงดูดเอาสารพัดความคิดไม่ดี

ความคิดที่เป็นอกุศล เข้ามารวมไว้ในที่เดียวนะ .. ไม่ใช่เลย

แตกต่างกันอย่างยิ่ง

 

ตอนที่เราแผ่เมตตาอย่างเมื่อกี้นี้ แล้วมีความสุข

มีลักษณะของการแผ่ออก อย่างนั้นยังเหมือนหลุมขาว 

ที่พร้อมจะดึงดูดความคิดดีๆ คำพูดดีๆ 

พร้อมจะผลิตคำพูดดีๆ พร้อมจะผลิตท่าทาง กิริยาวาจา

ออกมาในทางที่ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า

โลกนี้น่าอยู่ โลกนี่เหมือนสวรรค์บนดิน 

 

และผู้เสพสุข ผู้เสวยสุขก่อนใครเพื่อน ก็คือตัวเราเอง 

ที่สร้างหลุมขาวนั้นขึ้นมาด้วยสติ ด้วยปัญญาแบบพุทธ 

 

พอเกิดภาวะโกรธ ภาวะพยาบาท

แล้วเราเทียบเคียงได้ ระลึกได้ว่า จิตตอนที่แผ่เมตตานี่

คนละเรื่องกับตอนนี้เลยนะ

 

ตอนนี้ มีความมืด มีความดำ มีความป่วย

ออกอาการป่วย แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆ 

 

อย่างนี้ก็จะเกิดสติ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าหายป่วยได้ก็ดีนะ 

จะได้กลับไปมีจิตแผ่สว่าง กว้าง และเป็นสุข

เหมือนอย่างตอนหลังทำบุญอีก 

 

ระลึกได้เพียงเท่านั้น 

สำหรับคนที่ชินแล้ว ชำนาญแล้วนี่ .. ทิ้งโครมเลยนะ

เหมือนกับมีก้อนหนักๆ ร้อนๆ อะไรที่ ทับอกทับใจอยู่

ทิ้งออกไปจากอก แล้วรู้สึกเลยว่า อกจะโล่งเบาเย็น 

เหมือนฉายความสว่างออกมาได้

 

ตรงนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

ถ้ามีความโล่ง มีความเบาจากความโกรธแล้ว

ให้ตั้งจิตไว้กับความโล่ง ความเบา ที่ปราศจากโทสะนั้น

 

จะรู้สึกเหมือนจิตนี่ ถ้าใครนึกออกตอนนี้เลยนะ

จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า อกเรานี่ กลวง ว่าง

โบ๋ไปเป็นเป็นช่องใหญ่ และเป็นช่องสีขาวนะ

 

ตรงนั้นคือหลุมขาวที่เกิดขึ้นจริง

และเป็นหลุมขาว ที่เป็นแหล่งรวมความรู้สึกดีๆ

ความรู้สึกที่เป็นสุขชัดเจน

พระพุทธเจ้าให้ประคองไว้ แล้วแผ่ออก

 

คือถ้ามีอาการของจิต ที่แผ่ออกไปได้กว้างประมาณใด

จะไปได้แค่ทิศเดียวก็ตาม หรือว่าจะแผ่ออก 360 องศาก็ตาม

หรืออย่างบางคน เคยมาคอมเมนท์นะ

บอกว่ามีความรู้สึกเหมือนกับ แผ่ออกไปด้านข้าง .. ข้างซ้าย ข้างขวา  

จะแผ่ไปอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ถือว่าได้หมด

 

หลังจากที่เราพิจารณาแล้ว

ว่าอาการโกรธ และการพยาบาท เป็นอาการป่วยทางจิต

เราสามารถทิ้งได้ ราวกับว่ามีก้อนร้อนๆ ก้อนแข็งๆ 

ร่วงลงจากหน้าอกของเรานะครับ แล้วมีความว่าง ความเบา 

เสมือน ดวงไฟสว่าง ที่สาดออกไปทางทิศเบื้องหน้า

หรือว่าสาดออกทางด้านข้าง หรือว่าสาดออกทุกทิศทุกทาง

จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้ล็อคอาการนั้นไว้

ที่เป็นแสงสว่าง ที่เป็นแสงแห่งความสุขนั้น

แสงแห่งความสุขสีขาวนั้น 

 

นั่นคือ แผ่เมตตาแบบที่พระพุทธเจ้าสอน

 

ถ้าหากว่า แผ่ออกแบบไม่มีประมาณ ไม่มีทิศทาง

แผ่ออกได้ 360 องศาเลย

อย่างนั้น ในที่สุดจะมีกำลังถึงจุดหนึ่ง

มีอาการที่เป็น วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา พรักพร้อมชัด

 

วิตก คือนึกถึงการแผ่ความสุขออกไป แบบไม่มีประมาณ

 

วิจาร คือรู้สึกว่าหน้าตาตัวตน ร่างกาย หายไป

เหลือแต่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับอาการของจิต

ที่แผ่ออกไปไม่มีประมาณ 

 

ปีติ คือปีติอันเกิดแต่วิเวก

ปีติ อันเกิดจากความรู้สึกว่า ใจไม่เอาอะไรอื่น

นอกจากกระแสความรู้สึกว่า จิตแผ่ออกไปไม่มีประมาณ

มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับท้องฟ้า

หรือว่ามีความเป็นหนึ่งเดียว กับจักรวาล ทั้งห้วงจักรวาล

ความรู้สึกจะประมาณนั้นนะ

 

และพอมีปีติ อันเกิดจากความเยือกเย็น ปีติอันเกิดจากความวิเวกแบบนี้ ย่อมมี สุขเย็น ควบคู่ตามกันมาเป็นธรรมดา 

 

พอจิตผนึกรวมกันด้วยกำลังมากเข้าๆ ไม่ไปไหน

ก็พลิก จากภาวะคิดๆ นึกๆ กลายเป็นฌานขึ้นมา

ลักษณะของจิต จะรวมเป็นดวงไฟดวงใหญ่มหึมา

แล้วก็มีอารมณ์เดียว แนบไปกับสภาพอันเป็นสุข

เหมือนกับลงไปในมหาสมุทรแห่งความสุข ท่วมฟ้าท่วมดิน

อย่างนั้นก็คือ เอกัคคตา นะครับ

 

คือไม่มีอาการที่วอกแวกไปทางอื่นเลย

ไม่มีความคิดเจือปนอยู่เลย 

ไม่ได้ยินเสียงใดๆเลย

ตัวนี้ก็คือ เอกัคคตา

 

ซึ่งถ้าถึงความเป็นเอกัคคตา ด้วยทิศทางของการแผ่เมตตา

ท่านเรียกว่าเป็น อัปปมัญญาสมาบัติ

อัปปมัญญา คือ ไม่มีประมาณ แผ่ออกไป

สมาบัติ คือ ลักษณะของจิตที่ลงถึงฐาน

ตั้งมั่นเป็นหนึ่ง จิตเด่นดวง ไม่มีอะไรอื่นเข้ามาเจือปน

มีความบริสุทธิ์อยู่ในความเด่นดวงนั้นนะครับ

 

อันนี้ คือลักษณะของการแผ่เมตตา ที่จะได้ไปเป็นสหายแห่งพรหมนะ 

ได้ความรู้สึกว่า ฉันแผ่เมตตาให้เธอ 

 

ซึ่งถ้าเราอธิบายกันในแง่ของสมอง .. การแผ่เมตตาแบบที่เรารู้สึกได้ถึงความสุขไม่มีประมาณ

ตอนแรกที่เราสวดมนต์ ตอนแรกที่เราแค่รู้สึกว่า อยากให้ความสุขนี้แผ่ไปถึงคนอื่น

ตอนนั้น สมองส่วนหน้าจะยังทำงานอยู่ 

 

แต่พอรู้สึกว่าหน้าตาตัวตนหายไป

ความรู้สึกว่า ฉันเป็นผู้ตั้งใจแผ่เมตตาหายไป 

ตัววิตกและวิจารเกิดขึ้นเต็มขั้น 

รู้สึกราวกับว่า ไม่มีหน้าตาตัวใครเป็นผู้แผ่เมตตาอยู่

มีแต่ความสุข ที่แผ่ออกไปไม่มีประมาณ

อย่างนั้นนี่ เริ่มย้ายไปที่สมองส่วนหลัง 

 

คือตอนแรกนะ เราอยู่ที่สมองส่วนหน้า ตอนคิดว่าจะแผ่เมตตา

แต่เมื่อเมตตาออกไปจริงๆ คือเหลือแต่ความรู้สึกว่า

มีปีติ มีสุข แผ่ออกไปแบบไม่มีประมาณอยู่นี่  

ตอนนั้น ไปสมองส่วนหลังแล้ว

 

ไปอย่างไร ไปในแบบที่รู้สึกว่า

ฉันไม่ได้คิด ไม่มีตัวฉันเป็นผู้คิด

มีแต่ความรู้สึก เป็นตัว มีตัวมีตนอยู่ลึกๆ นะ

มีตัวมีตนผู้แผ่เมตตาอยู่ลึกๆ

แต่ว่าไม่ได้มีหน้าตาใคร

 

มีแต่ลักษณะของความสุข และปีติที่เด่นชัด

แล้วแผ่ออกไปไม่มีประมาณ

อย่างนี้สมองส่วนหลังถูกแอคติเวท (activate) ขึ้นมา

ถูกทำงานขึ้นมาแซงหน้าสมองส่วนหน้า

แล้วความคิด แทบไม่เหลือนะ 

 

ตรงนี้ก็เป็นความเข้าใจเบื้องต้นว่านี่เกี่ยวกับสมองอย่างไร

เดี๋ยวเราจะมาเข้าสู่ช่วงของการฟัง เสียงสติ ร่วมกัน

และทำสมาธิรวมกัน

 

คราวนี้นี่ เราจะเปลี่ยนโหมดการทำงานของสมอง 

จากสมองส่วนหน้า ไปสมองส่วนหลัง

ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีทางเสียงนะครับ

ซึ่งต้องใช้หูฟัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็รู้กันอยู่แล้ว

_____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตา

ช่วงสวดมนต์ร่วมกัน และแผ่เมตตา

วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=Z5dTc-Jtlyg

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น