วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีเปิดตาในแบบพุทธ

วิธีเปิดตาในแบบพุทธ

https://www.youtube.com/watch?v=WA1KVAcd7yA

สวดอิติปิโสฯร่วมกัน

https://www.youtube.com/watch?v=lyyDvxHZ7B4&t=290s

ทำสมาธิร่วมกัน โดยใช้ ))เสียงสติ((

https://www.youtube.com/watch?v=POTI2Sbjo6E

บรรยายธรรมเหนี่ยวนำ หลังฟัง ))เสียงสติ((

https://www.youtube.com/watch?v=mrIjl2MSZig

 

*******************************************

บทถอดคำรวม

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีเปิดตาในแบบพุทธ

วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔

ถอดคำ : เอ้


______________________________


ดังตฤณ : สวัสดีกันอีกครั้งครับ รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์สามทุ่ม

 

สำหรับคืนนี้ ก็จะต่อเนื่องมาจากคอร์สอานาปานสตินะครับ ซึ่งหลายคนฟัง ‘เสียงสติ’ ไปแล้ว แล้วก็ทำอานาปานสติเป็นบ้างแล้ว เกิดประสบการณ์คล้ายๆกัน อย่างเช่น พบแสงสว่างจ้าๆ หรือว่ามีปรากฏการณ์ทางจิตหลากหลายนะครับ

 

แล้วก็หลายๆคน อันนี้เท่าที่ทราบ และเพิ่งมีบอกมาในสเตตัสวันนี้ (5 มิถุนายน) เลยด้วยซ้ำ ว่ารู้อะไรล่วงหน้านะครับ

 

ซึ่งผมก็เลยเห็นว่า ควรจะเอามาบอก เอามาขยาย เอามาทำให้กระจ่าง ไม่อย่างนั้นก็อาจจะเหมือนไม่รับผิดชอบ .. ทำ ก็คงต้องทำให้สุดนะ ก็ต้องมีคำอธิบาย มีคำชี้แจงอะไรกันไปนะครับ เป็นครั้งๆไป ขึ้นอยู่กับว่าคนส่วนใหญ่ จะมีคำถามมาในทิศทางไหนนะครับ

 

หลายคน ที่เกิดประสบการณ์ ประเภทที่มีความสว่าง หรือว่ามีความล่วงรู้อะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ก่อน 

 

ปัจจุบัน ไม่มีข้อสงสัยแล้ว รู้แล้วว่าสมอง เหมือนกับมีไฟฟ้าหล่อเลี้ยง เซลส์ประสาทสื่อสารข้อมูลกันด้วยระบบไฟฟ้า แต่ไม่ใช้ไฟฟ้าแบบตามบ้านแบบนี้นะ เป็นไฟฟ้าอีกแบบหนึ่ง เป็นไฟฟ้าทางชีวะ ซึ่งเขาพบว่า จะมีทั้งคลื่นไฟฟ้า ข้อมูลไฟฟ้าที่วิ่งเร็วแล้วก็วิ่งช้า ย่านช้าสุดเรียกว่า เดลต้า

 

ถ้าหากว่ามีการสื่อสารด้วยคลื่นช้าๆ เราจะรู้สึกสงบสบาย หรือบางทีเข้าสมาธิได้ เข้าฌานได้  หรือไม่ก็ถ้าเป็นช่วงหลับฝันก็จะรู้สึกว่าหลับลึก หลับสนิทสบาย อันนี้ก็เป็นคลื่นย่านช้า

 

แต่คลื่นย่านเร็ว อย่างเช่นที่เรากำลังอยู่ในภาวะตอนนี้กันนี่นะ พูดคุยกันปกติ หรือว่าคิดอ่านคิดนึกอะไรกัน เรียกว่า คลื่นเบต้า มีความเร็ว .. จัดว่า มีช่วงความเร็วที่ค่อนข้างจะแรงนะครับ

 

แล้วถ้าหากว่าคลื่นเบต้าไม่สมูท (smooth) ไม่มีความสม่ำเสมอ เราจะรู้สึกว่าเราฟุ้งซ่าน

 

แต่ถ้าเบต้าดี แล้วก็ย่านอื่นมีความสมดุล เราจะรู้สึกว่า เรามีสมาธิ เรากำลังตั้งโฟกัสอยู่กับอะไรอย่างหนึ่งสามารถทำงานได้ด้วยความรู้สึกว่า มีสติมีสมาธิดี ตั้งแต่ต้นจนจบ

 

พูดง่ายๆ ว่าจิตเดินเป็นเส้นตรง มีเป้าหมายชัดเจน แล้วก็สามารถที่จะก้าวไปตามลำดับได้อย่างเป็นระบบระเบียบ

 

ในขณะที่ คนฟุ้งซ่าน คลื่นเบตาจะเหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่างนะครับ เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ไม่มีเป้าหมายชัดเจน ไม่มีวิธีคิด ว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร อันนี้ก็เป็นเรื่องเบต้า

 

แต่คลื่นแกมมา คือที่เป็นคลื่นย่านความเร็วสูงสุดนี่ ยังเป็นเรื่องลึกลับอยู่มาก เป็นอะไรที่.. ยกตัวอย่างนะ อย่างตามทฤษฎีนี่ ข้อมูลที่เซลส์ประสาทใช้สื่อสารกัน ไม่ควรจะเร็วได้ถึงแกมมาแบบสูงๆ แต่กลับมีคลื่นแกมมาย่านสูงๆ นี้ได้ เขาก็ยังสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

 

แล้วที่สำคัญก็คือว่า ด้วยประสบการณ์ของผู้ที่มีแกมมาสูงๆ .. แกมมา สูงๆ และข้างล่างๆ นี้สมดุลด้วยนะ คือไม่ใช่กระจัดกระจาย แต่มีระเบียบมีความสม่ำเสมอชัดเจนนะ

 

ถ้าสมดุลกันหมด แล้วคลื่นแกมมาแล่นเร็วมากๆ เขาพบว่าผู้ที่เกิดภาวะแบบนี้ในสมอง จะมีความล่วงรู้อะไรที่อธิบายไม่ได้ มีความคมชัด ราวกับว่า ความจริง ไม่ปรากฏเป็นเส้นตรง เป็นวินาที 

 

เหมือนกับความจริงที่สมองสามารถรับรู้ หรือว่าจิตใจสามารถรับรู้ จะขยายขอบเขตออกไป คือแทนที่ต้องรออีกห้าวินาที ถึงจะรู้ว่าจะมีเหตุการณ์หนึ่งปรากฏ กระทบหูกระทบตา แต่ใจรู้ไปก่อน ใจรู้ไปล่วงหน้า

 

แบบที่คุณเคยดูหนัง พวก Limitless (https://www.imdb.com/title/tt1219289/)

หรือ ลูซี่ (https://www.imdb.com/title/tt2872732/) อะไรแบบนั้น

 

เขาเอามาจากความจริงทางวิทยาศาสตร์ทำนองนี้ เพราะว่ามีคลื่นแกมมาอยู่จริง แล้วคลื่นแกมมา ยังเป็นสิ่งที่ลึกลับ

 

ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง เขาค้นคว้ากันเอาเป็นเอาตายว่า ทำอย่างไรจะสร้างคลื่นแกมมาขึ้นมาได้แบบสม่ำเสมอ 

 

 ‘เสียงสติ’ ที่ผมปล่อยให้ดาวน์โหลดนี่ จุดมุ่งหมาย คือจะให้พวกคุณเกิดปีติง่าย แล้วก็เป็นปีติแบบ ปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก ใจไม่เอาอะไร

 

แต่ในขณะเดียวกัน ก็แฝงคลื่นสมองย่านแกมมาแถมไปด้วย เพราะว่า 

มันจำเป็นต้องใช้ ถ้าหากเราคิดในแง่ที่จะมาเจริญสติ แล้วรู้กายใจด้วยความเป็นรูปนาม เป็นสิ่งที่เรียกว่าญาณ.. ญาณทัสนะ

 

คือถ้าหากว่า เราทำให้คลื่นสมอง พ้นไปจากความเร็วปกติได้ คือเข้าสู่พรมแดนของจิตวิญญาณ คือมีแม้แต่นักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่นะ ก็ยังคุยกันว่าคลื่นแกมมานี่น่าจะเป็นฟรอนเทียร์ (Frontier) หรือว่าขอบเขตของจิตวิญญาณ ที่เป็นเรื่องพ้นไป ไม่ใช่มายด์ (mind) ที่ฝรั่งมองว่าเป็นสมอง แต่จะมองว่าเป็นสปิริต (Spirit) ที่เป็นลักษณะของนามธรรม

 

ไม่เกี่ยวกับสมอง เพราะว่ามีอะไรเกิดขึ้นแบบเป็นไปไม่ได้หลายอย่างนะครับ

 

ทีนี้ ถ้าหากว่าใช้ ‘เสียงสติ’ เวอร์ชั่นที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดไป เวอร์ชั่นจริง เวอร์ชั่นที่ใช้ดาวน์โหลดนี่ แล้วก็เจริญอานาปานสติไปด้วย อย่างที่เราทำกันในคอร์สห้าคืน

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นแบบคาดหมายได้อย่างหนึ่ง ก็คือว่าคลื่นสมองของคุณ จะมีความเป็นระเบียบคมชัดมากขึ้นเรื่อยๆ และใจคุณจะรู้สึกสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ

 

จริงๆ อยากถาม (โพล) หลายข้อเหมือนกันแต่ว่าจะเยอะไป อย่างเช่นว่า

ความจำดีขึ้นไหม

รู้สึกว่าตัวเองมีความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้นไหม

กล้าคิดกล้าทำมากขึ้นไหม

แล้วก็รู้สึกว่าเลือกในสิ่งที่ใช่มากขึ้นไหมนี่

 

เป็นผลงานของการที่เรามีคลื่นสมองย่านช้า กับย่านเร็วที่สมดุลกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าใครไปถึงจุดที่คลื่นแกมมา มาเป็นปกติ โดยไม่รู้ตัวนะ คุณจะรู้สึกเหมือนว่าไอคิวสูงขึ้น หรือสามารถรับรู้อะไรที่เป็นอนาคตสั้นๆ โดยที่ก็อธิบายไม่ถูกว่ารู้ได้อย่างไร

 

พอมาถึงตรงนี้ ก็เป็นปกติของมนุษย์ธรรมดา ที่จะต้องแสวงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มาแบบไม่ได้ตั้งใจเอาอานาปานาสติ ไม่ได้ตั้งใจเอาการเจริญสติ แต่คิดว่า อยากจะมานั่งสมาธิให้ได้อะไรแบบนี้

 

ก็เลยเหมือนถ้าได้ตรงนี้นี่ผมก็จะเสียดาย ถ้าหากว่าคุณไปในทางที่เอาไปใช้แบบโลกๆ คือถ้าตอนรู้อะไรแค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ แล้วไปแสวงหาสิ่งที่จะทำให้เสียเวลาเปล่าไปชาติหนึ่งนี่ ก็เหมือนจะได้เพชรอยู่แล้ว แต่ขอแค่กรวด

 

ผมเคยมีประสบการณ์จากคนที่ .. ตั้งแต่นานมาแล้ว หลายปีก่อน มีมาอยู่เรื่อยๆว่า เห็นอนาคต อยากเรียน อยากทำให้ได้ยิ่งๆ ขึ้น

 

ผมก็บอกว่า อย่าไปเอาเลยนะอะไรแบบนั้น ได้กันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ แต่ที่ยังไม่ได้นี่ เอาให้ถึงดีกว่า ที่พระพุทธเจ้าอยากให้ได้นะ

 

ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะออกเเนวว่า อย่างไรก็จะดึงดันหาอาจารย์ ที่มาสอนเอาเอาดีทางนี้ และปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็จะออกแนวเปิดตาใน หรือที่เรียกกันว่าตาที่สาม ฝรั่งเรียกเธิร์ดอาย (Third eye) หรือว่ากระตุ้น ไพเนียล แกรนด์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าถ้ากระตุ้นต่อมนี้ได้ ก็จะทำให้รู้เห็นอะไรที่เกินประสาทตามนุษย์ เกินแก้วตามนุษย์

 

อันนี้ คืออยากจะบอกเป็นกลางๆว่า ถ้าคุณหัดเปิดตาใน หรือว่าที่เรียกเธิร์ดอาย ตาที่สามนี่ เป็นไปได้ .. ใครๆ ก็ทำได้ ขอแค่รู้หลักรู้วิธีเท่านั้น

 

คือแค่แตะๆ แล้วให้แสงสว่างเกิดขึ้น ก็เกิดปรากฏการณ์นะสามารถรู้เห็นอะไรด้วยตาที่สามได้ไม่ยาก

 

แต่เรื่องนี้ มีคนเตือนกันน้อย .. มีเตือนนะ แต่น้อย .. คือสิ่งที่คุณจะได้พบได้เจอ ด้วยความที่ยัง .. บางทีนะหลายๆคน .. ยังไม่มีศีล ยังไม่ได้มีความสะอาด ยังไม่มีความเป็นกุศลจิตที่แข็งแรงตั้งมั่น 

 

ส่วนใหญ่นี่คุณไปดูได้เลย ประสบการณ์ที่เขาสอนๆ กัน เปิดตาที่สาม ตามยูทูป หรือว่าตามฟอรัมต่างๆ เมืองนอกมีเยอะ เมืองไทยก็น่าจะมี แต่ผมเห็นเยอะในเมืองนอก ตอนนี้คลั่งใคล้กันมากเลย และส่วนใหญ่จะพูดตรงกันนะว่า พอทำตามคำแนะนำแล้ว ปรากฎว่าเห็นเงาตัวอะไรไม่รู้ วิ่งผ่านเดินผ่าน อะไรแบบนี้

 

ซึ่งคือนั่นแหละ ความที่ว่าเราสามารถทำได้ แต่ไม่รู้ว่าเราจะต้องไปเจอกับอะไรบ้างนี่ น่ากลัวนะ 

 

บอกจริงๆ คือคนสอนน่ะสอนได้ แล้วก็ทำกันได้จริงๆ โดยที่ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมาก ไม่ต้องใช้ฌาน ไม่ต้องใช้อภิญญา มันเป็นธรรมดาธรรมชาติอยู่แล้ว ที่ถ้าเราทะลวงด่านขวางกำแพง ขวางภาพนี่ ที่ปรากฏมีอยู่แล้ว พร้อมที่จะปรากฏอยู่แล้วนี่ ถ้าทำลายได้ ก็เห็นได้ไม่ยากหรอก

 

แต่เราไปเจออะไรบ้าง แล้วจะคิดอะไรต่อบ้าง อันนี้ที่น่าเป็นห่วง

 

เหมือนกัน คือเราจะเจริญสติ ก็มีความขัดแย้งกัน ถ้าไม่ได้สมาธิก็ไม่สามารถที่จะเห็นกายใจตรงตามจริง

 

แต่พอได้สมาธิจริงๆ ขึ้นมา ก็กลายเป็นว่า บางทีไปรู้ไปเห็นอะไรที่ครึ่งๆ กลาง 

 

ฉะนั้น คือแทนที่จะปล่อยให้คุณสงสัยกันเอง คุยกันเอง หรือว่า ตัดสินใจกันเอง วันนี้ก็เลยอยากจะมาเอาเข้าที่เข้าทาง

 

ที่บอกว่า ถ้ามีความสามารถแบบนี้ขึ้นมา เราควรจะใช้ความสามารถอย่างนั้น ไปทำอะไร ในแบบที่จะได้เป้าแบบพุทธนะ 

 

ใช้คำว่า เปิดตาใน 

 

จริงๆแล้ว เป็นคำแบบว่าสื่อกับคนทั่วไปง่ายๆ นะ จริงๆแล้วก็คือ ทำให้จิตสว่าง

 

อย่างถ้าใครเคยใกล้ชิดครูบาอาจารย์ เช่นหลวงปู่เหรียญ วรลาโภนะครับ 

ถ้าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดแล้ว ท่านเห็นว่าปฏิบัติ ท่านจะสอนอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะพระ หรือฆราวาส 

 

ท่านจะบอกว่า คือท่านดูนะว่าคนนั้นนี่ ทำได้มาแล้วบ้างหรือเปล่านะ ท่านจะบอกว่า ถ้าจะเอาความก้าวหน้าให้แบบว่า ลืมตาอ้าปากได้ หรือว่าเห็นน้ำเห็นเนื้อได้ ต้องเอาให้ถึงขั้นที่ พอรู้กายเข้ามา เหมือนเปิดสวิตช์ไฟ ปิดเปิดได้ดังใจ

 

เดิมกายนี่เหมือนห้องมืดอยู่ เรามีสวิตช์อยู่สวิตช์หนึ่ง เปิดแชะแล้วมันสว่างโพลงขึ้นทันที อย่างนี้ถึงจะปฏิบัติแบบได้น้ำได้เนื้อได้ไม่ยาก หรือว่ามีหวังที่จะเอาดี แบบถึงขั้นสุดยอด ถึงขั้นพ้นทุกข์ได้ หรืออย่างน้อยปิดอบายได้เป็นพระโสดาฯได้ ..ท่านสอนง่ายๆ แค่นี้นะ 

 

แต่ว่าตรงนี้จะเป็นไอเดีย เป็นเหมือนกับทิศทางว่า ถ้าหากว่าเราจะเปิดตาในกันนี่ ไม่ใช่เพื่อที่จะไปเห็นนรกสวรรค์ หรือว่าเห็นภูติผีวิญญาณอะไรภายนอก

 

มีข้อดีที่ ถ้าเราเปิดตาที่สามได้แบบคนธรรมดา ยังไม่มีสมาธิ ยังไม่อะไร แต่เห็นได้ว่าภพภูมิอื่นมีจริง อย่างนี้ก็เกิดการสังวร ไม่ใช่ประมาทว่า ตายแล้วจบ สมองหยุดทุกอย่างก็จบ ไม่ใช่แบบนั้น

 

แต่มีอะไรอยู่จริงๆ ซึ่งเฉียดกันแค่กำแพงขวาง แค่บางๆ แค่นี้ แค่ทะลวงออกไปได้ ก็สามารถเห็นแล้วว่า ที่พูดๆ กันนี่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องโกหก ไม่ใช่นิทานหลอกเด็ก ที่นึกว่าตัวเองเกิดหนเดียว ตายหนเดียว

 

ถ้าวันหนึ่ง รู้ขึ้นมา อ้าว ตัวเองนี่แหละถูกหลอกมานาน ถูกหลอกด้วยความไม่รู้ แล้วก็ช่วยกันยืนยันเป็นแบบประชาธิปไตยว่า ถ้ายกมือข้างไม่เชื่อมากๆ แปลว่าฉลาด แปลว่ารู้จริง ไม่ถูกคนโบราณหลอก

หารู้ไม่ คือพวกมากลากไปนี่ ก็ถูกพวกเดียวกันเองนี่แหละหลอก

 

ทีนี้ คือถ้าเราเก็บความสนใจ หรือว่าความอยากรู้อยากเห็นตรงนั้นไว้ก่อน แล้วมาอยากรู้อยากเห็น ในแบบที่เหมือนกับหลวงปู่เหรียญท่านสอน ว่าสามารถทำให้ตัวเอง เห็นกายได้ เหมือนกับเปิดไฟเปิดสวิตช์ไฟ ห้องทั้งห้องสว่างโพลงขึ้นมาได้

 

ถ้าได้อย่างนี้ จะได้เป้าแบบพุทธด้วย แล้วก็จะมีของแถม ในแบบที่ไม่ได้จำเป็นต้องคาดหมายไว้ก่อน

 

คุณสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสงสัยได้ ว่าจริงหรือไม่จริง

 

ผมเชื่อว่าหลายคนที่ดูอยู่นี่ ก็คงจะเคยเปิดตาที่สามกันได้ เคยรู้เคยเห็นอะไรกันมา คุณน่าจะพบความจริงอยู่อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ 

มาปฏิบัติแบบพุทธนี่นะ 

 

ถ้าอยู่ๆ คุณไปเปิดตาที่สาม ไม่สามารถประกันเลยว่า คุณจะเจออะไรบ้าง และส่วนใหญ่จะมาเพื่อดึงให้เขว หรือไม่ก็ ถ้าคุณมีบาปสัมพันธ์กับจิตวิญญาณกลุ่มไหน มันชวนลงต่ำ ชวนให้หลงเข้าใจผิด ชวนดูถูกครูบาอาจารย์ หรือดูถูกพระพุทธเจ้า เป็นแค่ไก่รองบ่อนอะไรแบบนี้นะ

 

คือจะมีสารพัดที่มา แล้วคุณจะเชื่อจริงๆ เพราะว่าเป็นความรู้ความเห็นที่เหนือมนุษย์ รู้สึกว่านี่ที่เราเห็น มันเหนือแก้วตามนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้นเราเหนือกว่าคนอื่นทั่วไป ใครมาว่าเราบ้า คนนั้นแหละที่ไม่เข้าใจเรา 

 

ทีนี้ ถ้าแทนที่จะเปิดตาที่สาม แต่มาเห็นมาเห็นข้างในกาย เหมือนที่หลวงปู่เหรียญว่าเปิดสวิตช์ไฟห้อง จากห้องมืดกลายเป็นห้องสว่างได้

 

ถ้าตั้งต้นตาใน แบบที่เรียกว่าเป็นตาในจริงๆ เห็นเข้ามาข้างในจริงๆ เป็นการเห็นออกมาจากข้างในจริงๆ แต่ถึงจุดหนึ่งที่คุณเซฟแล้ว แล้วคุณจะไปรู้ไปเห็นอะไรอย่างอื่น จะพบเลยนะว่า

 

ช่องทางของตาในแบบพุทธ เป็นไปเพื่อพบกับ 

สิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ 

สิ่งที่เป็นจิตวิญญาณชั้นสูง 

ที่มีความเป็น จูนคลื่นกันติด

 

คือ เทวดาสัมมาทิฏฐิ จะไม่ค่อยไปปรากฏตัวกับคนที่เปิดตาในที่สามขึ้นมาโต้งๆ เพราะอะไรที่มืดๆ จะเอาไปก่อน คาบไปกินก่อนนะ

 

ยกเว้นแต่ว่า จะเป็นเทวดาสัมมาทิฏฐิ ประเภทที่เคยเป็นครอบครัว ห่วงใยกันจริงๆ รู้ว่าเราเล่นอะไรแบบนี้ ก็จะคอยมายืนจังก้าขวางไว้ อันนี้ก็จะเป็นข้อยกเว้นที่ค่อนข้างเจอได้น้อย

 

แต่ที่เจอได้เยอะ ประเภทที่อยู่ๆ เปิดตาที่สามโดยที่ไม่มีกำลังจิต ไม่มีกำลังกุศลมาเป็นตัวตั้งไว้ก่อน เจอแบบที่ลวงให้หลงทางเยอะมาก  

ผมไม่รู้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์แต่บอกได้ว่ามาก

 

ฉะนั้น กลุ่มหนึ่งที่ฟัง ‘เสียงสติ’ อย่างเดียวได้แล้ว ผมอนุโมทนาสาธุนะครับ แล้วก็คืนนี้ อยากจะมาไกด์นะว่าทำอย่างไร ให้เปิดตาใน แล้วก็รู้สิ่งที่ควรรู้แบบพุทธได้

 

 

ส่วนที่เหลืออีกกลุ่มใหญ่ๆ อันนี้ผมก็เตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพราะกลุ่มใหญ่จริงๆ อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ทำแล้วไม่ได้สมาธิ ทำแล้วไม่เกิดปีติสุขนะรู้สึกว่าขยาด ปวดหัว หรืออะไรโน่นนี่นั่น 

 

คืนนี้ผมช่วยทั้งสองพวกเลย ทั้งสองกลุ่มเลยนะ โดยพวกที่ยังอาจจะรับกับ ‘เสียงสติ’ ไม่ได้ รู้สึกว่ายังแขยงอยู่ รู้สึกว่ายังรู้สึกต้านๆ ใจไม่เอานี่ วันนี้หาขนมมาให้กินก่อนนะครับ 

 

ขึ้นต้นมา ก่อนว่ากันเรื่อง ‘เสียงสติ’ เรามาสวดมนต์ด้วยกัน

 

คือการสวดมนต์ อิติปิโสฯ ธรรมดานี่ จริงๆ แล้วก็มีพลังแบบหนึ่ง ที่เอามาช่วยให้คุณเกิดสมาธิได้นะ

 

จริงๆ ที่ไม่ได้แนะนำมาแต่ไหนแต่ไร เพราะไม่อยากให้มองว่า ตรงนี้เรากำลังทำพิธีไสยศาสตร์ หรืออะไรกันหรือเปล่า แต่จริงๆ เวลาที่เราพนมมือไหว้ เปล่งเสียงสวด อิติปิโสภะคะวา..  

จะมีพลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว เราจะสนใจ หรือไม่สนใจเรื่องพลังก็ตาม

 

และพลังกุศลนี้ เอามาช่วยในแบบที่เห็นได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือเรา 

มาทำให้สมองส่วนหน้านี่ลดการทำงานลงได้ 

 

เดี๋ยวจะมีอุบายให้เห็นแบบที่เป็นรูปธรรมชัดเจน 1 2 3 เลย

 

ทีนี้ก็ขอไว้แต่แรกว่า ที่อธิบายนี่เพื่อให้เข้าใจ หลายคนผมเข้าใจดี และรู้ดีว่าอยากจะเอาแบบด่วนๆ ขอทำอย่างเดียว ไม่สนคำอธิบายนะ

 

ซึ่งการไม่สนคำอธิบาย แล้วไม่ได้ผลนั่นแหละ ทำให้คุณเกิดความรู้สึกว่า ไม่ตรงกับจริตของตัวเอง แบบนี้เราทำไม่ได้กระมัง บุญน้อยกระมัง มีข้อสงสัยอะไรตามมาเยอะแยะ

 

ต้องเข้าใจอย่างหนึ่ง ที่จะให้ทำนี่เป็นการเหมือนกับ อยากให้เข้าใจว่า 

แสงสว่างอันเกิดขึ้นข้างหน้า กับแสงสว่างที่เกิดขึ้นจากภายใน เป็นคนละอย่างกัน 

 

ความเคลียร์หัว หรือการที่เราไปทำให้ การทำงานของสมองส่วนหน้าลดลง และเพิ่มการทำงานของสมองส่วนหลัง มีอุบายที่เป็นไปได้ง่ายๆ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร

 

แล้วก็เวลาเกิดสมาธิขึ้นมานี่ มีสมาธิหลายแบบ สมาธิแบบที่ใจของเรา ยกเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นที่ตั้ง มาเป็นจุดเริ่มต้น หรือ สมาธิแบบแห้งๆ ไม่มีศรัทธา ไม่ได้มีอะไรมาเป็นตัวตั้ง วันนี้จะให้มีประสบการณ์ 

ครอบคลุม ความสงสัยทั้งหลาย ให้หายไปได้นะครับ 

 

** สวดมนต์ร่วมกัน **

 

วันนี้ สวดอิติปิโสฯ เหมือนเดิม แต่ว่าตั้งมุมมองไว้แตกต่างแค่นิดเดียว

 

เวลาที่คุณสวดมนต์ ก่อนจะสวดมนต์ ต้องพนมมือใช่ไหม สัมผัสแรกที่คุณจะรู้สึกก็คือ ฝ่ามือประกบฝ่ามือ .. พอฝ่ามือประกบฝ่ามือรู้สึกอย่างไร ตัวนี้ที่เรียกว่า อาการที่ใจพนมมือออกไปด้วยรูปทางกาย

 

เป็นพวกอื่น ใจคิดอย่างไร รูปอันเป็นทิพย์ก็จะทำตามไปตามนั้น แต่อันนี้ รูปกาย ซึ่งมีดินน้ำไฟลมประกอบอยู่นี่ เป็นตัวให้สัมผัส เป็นตัวบอกสัมผัส ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

 

ณ ขณะนี้ ก่อนที่เราจะเริ่มสวดอิติปิโสฯ ถ้าเราแค่คิดนิดเดียวว่า มือที่ประกบกันอยู่นี้ สัมผัสความรู้สึกแบบนี้ที่ฝ่ามือประกบกัน เป็นแค่ฝ่ามือหนึ่ง เป็นแค่สัมผัสหนึ่ง ในอีกหลายๆ ร้อยฝ่ามือ ที่สัมผัสกัน

 

ถ้าคุณหลับตาไปด้วยความรู้สึกว่า มือที่สัมผัสกันเป็นแค่หนึ่ง ในอีกหลายๆ ร้อยสัมผัสที่เกิดขึ้นอยู่ จะเกิดความรู้สึกว่า คล้ายๆ จับมือกัน คล้ายๆ มีหน่วยอื่น มีกุศลธรรมดวงอื่นๆ แบบเดียวกัน ตั้งต้นขึ้นด้วยท่าไหว้แบบนี้ เราเป็นแค่หนึ่งในนั้น

 

ทีนี้ เดี๋ยวพอสวดอิติปิโสฯ ไป คุณทำความรู้สึกที่ฝ่ามือนี้ไปด้วย แค่ทำความรู้สึกนะ แค่ทำความรู้สึกเฉยๆ ไม่ต้องไปออกกำลัง ไปพยายามเพ่งเล็งหรืออะไร

 

แค่ทำความรู้สึกว่า นี่เป็นเครื่องบูชา เราเอาไว้ถวายพระพุทธเจ้า ที่เรากำลังจะสวดสดุดีสรรเสริญท่าน ทำไว้ในใจแค่นี้

 

(ตั้งนะโม สามจบ สวดบทอิติปิโสฯ ร่วมกัน)

 



ดูความรู้สึกที่ฝ่ามือนะ ที่ประกบกัน ในฐานะของบัวบูชา เป็นเครื่องถวายแทนเครื่องถวายการบูชา แด่พระศาสดา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

ดูว่าความรู้สึกที่ระหว่างมือ เป็นอย่างไรอยู่

 



ทีนี้ ให้ยังหลับตาอยู่นะ .. เวลาที่เราพนมมืออยู่อย่างนี้ ถ้าหากแบะฝ่ามือออกมา อยู่ต่อหน้าหน้าผาก เราจะรู้สึกถึงพลังอุ่นๆ ที่อังหน้าผากอยู่ แล้วเกิดความรู้สึกสบาย เกิดความรู้สึกอุ่น เกิดความรู้สึกสบาย เกิดความรู้สึกว่าสว่าง เป็นกุศล

 

นั่นก็เพราะว่า มือที่เราประกบกัน เป็นมือที่กำลังอาบไปด้วยพลังของการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกับว่า เป็นเครื่องบูชาที่มีค่า เป็นเครื่องแก้ว ที่มีพลัง มีอานุภาพของศรัทธา มีอานุภาพของกุศลธรรมที่เกิดจากวจีกรรมดีๆ สดุดี สรรเสริญพระพุทธเจ้าอยู่

 

เพราะฉะนั้น เวลาที่เอามาอังหน้าผาก หน้าผากจะรู้สึกผ่อนคลาย หรืออาจเกิดความสว่างขึ้นมาในบางคน

 

หลายๆ คน เกิดความรู้สึกเหมือนมีความสว่างขึ้นมา ถ้าหากว่าความสว่างนี้ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ นั่นแปลว่า สมองส่วนหน้าของคุณลดการทำงานลง สมองส่วนหลังถูกกระตุ้นให้ทำงานแทน

 

อันนี้คือลักษณะหนึ่ง ที่เราเห็นได้ง่ายๆ จากสิ่งที่เรานึกว่าสวดๆ ไป แต่จริงๆ แล้ว มีพลังอะไรบางอย่าง ซึ่งแค่เรารู้วิธี มีความเข้าใจว่า ฝ่ามือก็เป็นช่องทางรับพลัง และ แผ่พลังได้

 

ถ้าหากว่าเราตั้งจิตของเรา อยู่ที่ฝ่ามือประกบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกี้ผมไกด์ว่า นี่เป็นแค่หนึ่งในมือที่ประกบกัน สัมผัสแบบนี้ เป็นแค่หนึ่งในหลายๆ ร้อย ถ้าหากว่าใจของคุณอยู่กับตรงนั้น เท่ากับคุณถักทอพลังที่เป็นมหากุศล ที่มีความเคารพพระศาสดาแบบเดียวกัน เป็นเครือข่ายของพลังความสว่าง

 

ซึ่งหมายความว่า แค่คุณเอามาอังหน้าผาก รู้สึกถึงความเบา รู้สึกถึงความโล่ง รู้สึกถึงความผ่อนคลาย อันนั้นก็คือใจ เปิดรับพลังที่ถักทอมาร่วมกันนั่นเอง

 

ถ้าอธิบายเป็นว่า บางคนเกิดแสงสว่าง .. แสงสว่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า ถามว่ามาจากไหน . มาจากฝ่ามือ อันนี้จะได้เกิดความเข้าใจ เวลาที่คุณเห็นแสงจ้าๆ ขึ้นมาระหว่างทำสมาธิ บางทีเป็นแสงจ้าๆ ที่เป็นโอภาส ที่มาจากความสว่าง เป็นเหมือนกับความสว่างที่สะท้อนสภาวะที่เป็นกุศลธรรม คือมีกุศลธรรมเกิดขึ้นตรงหน้า เพราะใจเรามักจะเพ่งไปตรงหน้า

 

แต่เดี๋ยวเรามาดูกันว่า ความสว่างอีกแบบหนึ่ง ที่ผุดขึ้นจากภายใน จะแตกต่างไปอย่างไร

 

** บรรยายธรรมเหนี่ยวนำ **

อย่าเพิ่งลืมตา ฟังที่ผมพูดนะ

ช่วงท้ายๆ นี่ก็คงจะเห็นนะครับว่า จิตของเราเหมือนกับขึ้นจากที่เปียก ขึ้นบกที่มันแห้ง ความฟุ้ง ความกระจาย อะไรทั้งหลายจะหายไป เหลือแต่ใจที่โล่งว่าง แล้วก็มีความตั้งตรง

 

ลักษณะของใจที่ตั้งตรง มีความรู้พร้อม รู้ชัด อันนี้แหละคือลักษณะของคลื่นสมองที่มีความถี่สูง


ในขณะเดียวกัน คลื่นย่านต่ำก็มีความสมดุลด้วย คือมีฐานของคลื่นย่านต่ำที่ดี แล้วก็มีคลื่นย่านสูงที่มีความสม่ำเสมอ

 

แล้วจะเอามาใช้อย่างไร?

 

ลองดูนะ พอใจเราเหมือนแห้งสะอาดจากของเปียก จะมีความรู้สึกว่า เวลาลมหายใจ ลากเข้าลากออก มีความชัด มีความโปร่งใส มีความเป็นหนึ่ง เดียว

 

อันนี้ที่องค์ คือวิจาร ปรากฏชัด

 

เรื่ององค์ คือวิตก จะมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว คือนึกถึงลมหายใจ

แต่องค์ คือวิจาร นี่ปรากฏชัดตอนที่ใจแห้งสะอาด แล้วมีความคงค้าง ในการเห็นว่า สายลมหายใจยาวๆ เข้าออก ไหลเข้าไหลออกอย่างนี้ คือเรียกว่า เป็นนิมิตสายลมหายใจ

 

ทีนี้สังเกตดูว่าตัววิจาร พอเวลาเด่นชัด จะเห็นเหมือนมีความสว่างนวลๆ อาบอยู่ในลมหายใจ ถ้าหากเราสนใจความสว่างที่มาพร้อมกับลมหายใจ ก็จะเกิดความเพลิดเพลิน เกิดความรู้สึกว่า ใจที่แห้งๆ สะอาดๆ จะไม่อยากเอาอะไรอีก นอกจากเห็นลมหายใจ ไหลเข้าไหลออก ผ่านเข้าผ่านออก

 

ลมหายใจ ที่เป็นสายยาวนี่ให้ความรู้สึก ปีติแล้วก็สุข อันเกิดจากจิตที่มีความวิเวก ไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากดิ้น ไม่อยากหวังผลอะไรข้างหน้าไปอีกแล้ว นอกจากรู้สึกชุ่มฉ่ำ ที่จะได้เห็นสายลมหายใจยาวๆ อยู่ตรงนี้

 

ทีนี้ พอเราแค่ดูนิดเดียวนะว่า ลมหายใจมีความสว่าง สว่างเข้า แล้วก็สว่างออก จะไม่ได้สว่างแค่ลมหายใจอย่างเดียว

 

ฐานที่ตั้งของลมหายใจ อันได้แก่ร่างในท่านั่ง

ที่มีซี่โครงขยายออก เวลาลมหายใจเข้า

แล้วก็ยุบลง เวลาลมหายใจออก

ขอให้ดูว่าความสว่างที่ลมหายใจนำเข้ามานี่

พาให้เกิดความสว่าง ไปพร้อมกับซี่โครง ที่ขยายออกแล้วก็ยุบเข้า

 

ซี่โครงมันตั้งอยู่อย่างนี้ชั่วหน้าตาปี

อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด แต่เราไม่เห็น

เพราะว่ามโนภาพ หน้าตาตัวตนบุคคล มาบังไว้หมด

 

ในคราวนี้ พอเหลือแต่จิตที่มีความแห้งสะอาด

มีความไม่เปียก จะมีความเห็นชัดขึ้นมาทันที

ราวกับว่าจุดไฟ หรือว่าจุดแสงสว่างขึ้นมาจากข้างในร่างกาย

 

พอเรารู้สึกถึงความคงค้างของความว่าง ความสว่าง

ที่เป็นส่วนประกอบภายใน ที่เหมือนโพรงว่างนี่

เราก็จะเห็นรูปซี่โครงนี่ ค่อยๆปรากฏชัด

 

บางคนอาจเห็นเป็นซี่ๆ เฉยๆ แต่นับไม่ได้ว่ามีกี่ซี่

บางคนเห็นชัด ขนาดรู้สึกว่าซี่โครงเป็นสีขาว

นี่คือการเห็นความจริง ไม่ใช่มโนภาพ ไม่ใช่จินตนาการเอา

 

ทำไมเราถึงกล่าวว่าเป็นของจริง

ก็เพราะว่านิมิตนี้ ที่กำลังเห็นอยู่จะจะนี้

เป็นสิ่งที่อ้างอิงกับท่านั่งในปัจจุบัน

 

ท่านั่งในปัจจุบันนี่ ที่เคยนึกว่าเป็นร่างของใคร

หน้าตาของใคร เพศของใคร หญิงหรือชาย

มีความโก้เก๋ หรือมีความต่ำต้อย

มีความดูดีหรือว่า ดูน่าน้อยเนื้อต่ำใจ

 

แท้จริงแล้ว มีพื้นฐานเหมือนกันหมด อย่างที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ว่า

มันยกตั้งขึ้นด้วยโครงกระดูก

มีกระดูกสันหลังเป็นตัวตั้งเป็นตัวหยัดตั้ง

ในโครงกระดูกนี้ แออัดยัดทะนานไปด้วยตับไตไส้พุง

ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ

เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เพราะว่าจิตมาไม่ถึงตรงนี้

 

เมื่อจิตมาถึงตรงนี้ แล้วทำอย่างไรต่อ

 

เราก็เห็นว่านี่แหละ ที่เรียกว่า ตาในแบบพุทธ

คือเห็นเข้ามาข้างในจริงๆ แล้วเห็นออกมาจากข้างใน

ไม่ใช่มองออกมาจากข้างนอก

 

เมื่อเราทำสมาธิ แล้วได้เห็นกายอย่างนี้ทุกครั้ง

นี่คือเครื่องตั้งของความรู้ว่า

กายนี้เป็นทุกข์ กายนี้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวใคร

 

ยิ่งเห็นบ่อยเท่าไหร่ ประตูนิพพานยิ่งเปิดอ้ามากขึ้นเท่านั้น

 

เพราะอะไร เพราะจิตจะเริ่มฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ว่า

อันนี้ เราไม่เคยออกแบบ เราไม่ได้เป็นคนสร้างเลย

ร่างนี้เป็นแค่ร่างหนึ่ง ที่อุบัติขึ้นด้วยกรรม

 

ตอนนี้เราอาจยังมองไม่เห็นไปถึงมิติของกรรม

แต่เราเห็นถึงมิติของกายอย่างชัดแจ้งแล้วว่า

ที่เรียกว่าผลลัพธ์ของกรรมนี่ หน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง

ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ในภพภูมิมนุษย์

ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ มีหน้ามีตา

ที่ต้องส่องเอาจากกระจก

หรือต้องมองเอา ด้วยสายตาบุคคลภายนอก

 

แต่ว่าเวลามองออกมาจากสายตาภายใน หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า ตาใน

ไม่มีใครอยู่เลย

มีแต่โครงกระดูก

มีแต่ซี่โครงหุบเข้าหุบออก

 

เมื่อเราเห็น แบบนี้ซ้ำๆ ในที่สุด ความคิดจะสงบระงับจากฐานของความเป็นตัวตน แต่เกิดความคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ว่านี่ไม่น่าเอา .. ไม่เห็นน่าเอาเลย

 

เราเห็นของจริงมาตั้งแต่ตัวตั้งของมันนะ ตัวตั้งที่หุบเข้าหุบออกอยู่นี่

จริงๆแล้วไม่มีใคร จริงๆแล้ว ไม่เคยมีใครอยู่ในนี้

มีแต่ของที่กำลังตั้งให้ดู ว่าไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่น่าเอา

** ** ** **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น