ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
แก้โรคนอนไม่หลับด้วยกระดูกข้อมือ
วันที่ 26 กันยายน 2563
ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม
สำหรับคืนนี้ก็มาต่อยอดจากเมื่อตอนก่อน หัวข้อว่า ทำสมาธิในท่านอนจะได้ไหม
วันนี้จะเรียกว่ากลเม็ดทางการเจริญสติแบบ ‘กายานุปัสสนา’ หรือ ‘กายคตาสติ’ ซึ่งถ้าใครทำ กายคตาสติ ได้ ก็จะค้นพบอะไรแบบนี้ หรือยิ่งกว่านี้ใด้ไม่รู้จบนะครับ ไม่ใช่ว่า เราจะเห็นอะไร หรือว่าจำเพาะเจาะจงว่าต้องเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ แค่นั้นแค่นี้ ตามตำราว่านะ
คือถ้าหากว่าสามารถทำแบบที่พระพุทธเจ้าให้ทำได้
คือเจริญสติเข้ามาในกายจนกระทั่งเห็นทะลุปรุโปร่งนะครับ จิตมีความผ่องใส
จิตมีความสว่างมากพอ
ที่จะรู้จักความเป็นกายได้อย่างแจ่มแจ้ง ก็จะเกิดมุมมองออกมาจากภายในอีกแบบหนึ่งเลย ซึ่งเอามาเล่า
หรือจาระไนให้ฟัง ไม่หมดนะ
เว้นแต่ว่าเราทำได้เอง แล้วก็จะค่อยๆ
เห็นไป ทีละวัน ทีละขณะ ทีละช่วงตอนของแต่ละวันนะครับ ว่าสามารถมีอะไรให้เห็นได้บ้าง
อย่างอันนี้ เริ่มขึ้นมา
เราพูดถึงท่านอนแบบหงายนะครับ ในท่าที่ปล่อยแล้ว วางแล้ว เหมือนอย่างนี้นะ
แล้วก็เริ่มจากการสำรวจ ฝ่าเท้า ว่าเกร็งอยู่ไหม
ฝ่ามือ มีอาการกำอยู่ไหม
หรือว่าทั่วใบหน้า
มีอาการตึง มีอาการขมวดหรือเปล่า
ถ้าหากว่า เราเริ่มลงนอน ด้วยอาการปกติ
แบบคนขาดสติ หรือคนที่ปล่อยให้ตัวเอง ไม่มีทิศทางในการนอนหลับอย่างมีสตินี่นะ
ก็จะไม่รู้เลยว่า ตัวเองกำลังเกร็งอยู่หรือเปล่า เกร็งอยู่ที่ตรงไหน เพราะฉะนั้น
ความฟุ้งซ่านนี่ก็หายห่วงเลย อยู่ในหัวก็จะยุ่งเหยิง แล้วก็มีความรู้สึกว่า เราไม่สามารถจะข่มตานอนได้ ถ้าหากมันมีขยะทางอารมณ์นะ
ระหว่างวันที่สะสมความเครียด ที่สะสมปัญหา ที่สะสมการรู้สึกว่า
เราหาทางออกให้กับปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ อะไรแบบนี้นี่
ก็สะสมแล้วกลายเป็นโรคนอนไม่หลับขึ้นมาได้นะครับ
ทีนี้ถ้าหากว่าเราเริ่มจากการนอนแบบผ่อนคลายให้เป็น
แล้วก็ให้มีความเคยชินที่จะสะสมความรับรู้ว่าในกายนี้
มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ยังกำอยู่ไหม ที่ยังเกร็งอยู่ไหม แล้วก็รู้จักที่จะค่อยๆ
ผ่อนคลายทีละส่วน ไล่มาว่า ฝ่าเท้าผ่อนคลาย ฝ่ามือผ่อนคลาย ใบหน้าผ่อนคลาย
ก็จะสบายขึ้นมาทั้งตัว
แต่ทีนี้ เรื่องของเรื่องนี่นะ
เวลาที่เราสบายขึ้นมาทั้งตัวแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเป็นปกติ
ก็จะกลับฟุ้งซ่านขึ้นมา ก็จะลืมท่านอน ลืมสภาพความเป็นกายในอิริยาบถนอน
กลับไปฟุ้งซ่านใหม่ แล้วก็เครียดได้ใหม่
ทีนี้ถ้าเรา เหมือนกับมี สติ
อยู่กับกายได้ ไม่ว่าจะเป็น
ความเป็นลมหายใจเข้าออก
หรือความเป็นกายในท่านอนนี้
จนกระทั่งรู้สึกได้ถึง ‘ความวางนอน
ทั่วทั้งสรรพางค์กาย’
แล้วก็นึกถึง ‘กระดูกข้อมือ’
คือจริงๆ จะกระดูกชิ้นไหนก็ได้
แต่กระดูกข้อมือ มาอยู่ใกล้กับฝ่ามือ แล้วฝ่ามือ ถ้าหากว่าอยู่ในสภาพปล่อยวาง
อยู่ในสภาพกาง ไม่กำ เราจะถือได้ว่า มีสัญญาณ มีความเป็นเครื่องหมายบอก ความปล่อยวางทางใจได้
มือที่คลาย คือมือที่ปล่อย แต่มือที่กำ
มือที่เกร็ง คือตัวสะท้อนสภาพใจที่ยึด
อย่างพอเรามีสติแล้ว อยู่ในท่านอนที่สบาย
ฝ่าเท้า ฝ่ามือทั่วใบหน้าไม่เกร็งแล้ว แล้วนึกถึงกระดูกข้อมือขึ้นมา
จะเหมือนกับใจเรา โฟกัส ไปที่ ... คือต้องพูดให้เคลียร์นะ คือยังมีสติอยู่กับท่านอนทั้งตัวอยู่ เพียงแต่ว่าจะเด่นชัดขึ้นมาที่กระดูกข้อมือ แล้วถ้าหากว่า มีความรับรู้ได้แบบสบายๆ ไม่ไปจดจ้อง เพ่ง หรือว่าไม่ไปเคร่งเครียด กับการจะเห็นให้ได้ แต่เหมือนกับ เราทำความรู้สึกน่ะ ตอนที่ฝ่ามือหรือว่าข้อมือ วางสัมผัสฟูกนอน แล้วก็เกิดความรับรู้อย่างเป็นไปเองว่า ตอนฝ่ามือผ่อนคลาย กระดูกข้อมือที่เรารู้สึกถึงความเป็นข้อมือนี่ ก็จะมีความเป็นไปเองนะ ...วาง รู้สึกถึงอาการวางของมันอย่างเป็นไปเองตามไปด้วยนะครับ
ฝ่ามือสบายอย่างไร
ข้อมือก็สบายอย่างนั้น แล้วข้อมือ
ถ้าหากว่าสบาย เรารับรู้อย่างสบายๆ ไปพักหนึ่ง จะเห็นขึ้นมารางๆ
เหมือนกับสภาพของกระดูกที่ปรากฏ เวลามืดๆ เรานึกถึงร่างกายของตัวเอง เราเห็นอะไรล่ะ
ส่วนใหญ่ก็จะเห็นแต่ก้อนความรู้สึก เป็นตัวเป็นตน คือไม่ได้เห็นเป็นสภาพรูปพรรณสัณฐานทางกายอะไรหรอก
แต่รู้สึกแค่ว่า มันมีก้อนเนื้อ มีน้ำหนัก มีมวลของความเป็นร่างกายตัวเรา
เป็นสัญลักษณ์ แทนอัตตา หรือว่าตัวตนของเรา
ทีนี้ถ้าเราเจาะจง เล็งเข้าไปที่ความจริง
อย่างเอาข้อมือเป็นตัวตั้งนะครับ
เราก็จะรู้สึกได้ถึงกระดูกข้อมือที่อยู่ตรงนั้นแหละ
มันไม่ได้เห็นชัดเป็นรูปพรรณสัณฐานเป็นซี่ๆ แบบนี้เสียตั้งแต่เริ่มแรกนะ
ตรงกันข้าม ถ้าหากว่า จิตมืด เราก็อาจเกิดจินตภาพ จินตนาการ เห็นกายเป็นก้อนดำๆ
หรือจินตนาการเป็นกระดูกที่น่ากลัว
นึกออกใช่ไหม เวลาถ้าเราอยู่ในความมืด แล้วใครมาบอกว่า
ร่างกายที่แท้จริงของเรา โดยพื้นฐานเป็นกระดูกนะ แล้วเรานึกถึงโครงกระดูก
เราก็มักจะนึกถึงสิ่งที่ติดอยู่ในความทรงจำ อย่างเช่นหนังผี
หรือว่าอย่างกระดูกที่เรานึกกลัว บางคนนี่ เห็นกระดูกในป่าช้า หรือว่า
ดำน้ำลงไปเจอกระดูกใต้ก้นทะเล ถึงขั้นช็อคก็มีนะ เคยมีนักประดาน้ำ
ลงไปถึงก้นทะเลแล้วเจอกระดูกมนุษย์ ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นมา ลืมว่า ต้องค่อยๆ
ขึ้นมาทีละช้าๆ ถึงขั้นช็อค ถึงขั้นอะไรไป
แสดงให้เห็นว่าจินตภาพ
หรือว่าจินตนาการของมนุษย์เรามีที่มีเกี่ยวกับกระดูก มันโยงเข้ากับเรื่องของผี
เรื่องของสิ่งที่น่ากลัวนะครับ
แต่ถ้าหากจิตสว่างใสขึ้นมาจริงๆ
จะไปเห็นเป็นกระดูกที่
‘น่าวาง’
แล้วไม่เกิดความรู้สึกว่าน่ากลัวอะไรทั้งสิ้น
จะมีสภาพความเป็นเช่นนั้นเองของกระดูก ที่เรามานอนอยู่กับใคร เรามานอนอยู่กับอะไร
อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวตน
พูดง่ายๆ นะ สรุปง่ายๆ เลยก็คือว่า ถ้าจิตยังมืดอยู่ จะนึกถึงความจริงทางกายที่รับไม่ได้ คือรู้แหละว่าเป็นกระดูก แต่รับไม่ได้ที่ตัวเองเป็นอย่างนี้ เป็นโครงเป็นซี่ๆ แบบนี้
แต่ถ้าสว่าง แล้วเห็นตามจริงนะครับ เห็นความจริงทางกายที่ไม่มีใคร
ความจริงทางใจที่ไม่เที่ยง จะเกิดสภาพทางใจที่ปล่อยวางขึ้นมา
แล้วสภาพทางใจที่ปล่อยวาง นอนไปกับกระดูกนั่นแหละ ที่ มันจะหลับสบาย มันจะสว่าง
มันจะหายเครียด มันจะเลิกกังวล คือ ไม่รู้ว่าจะต้องฟุ้งซ่านให้โครงกระดูก ที่วางรอวันแตกกระจายโครงนี้ไปทำไม
จะมีแต่ใจที่เห็นความจริง
เห็นตามจริงว่า กระดูกที่ไม่มีใครอยู่นี้ วางของมันอย่างนั้น
แล้วทำไมใจไม่วางตามมันบ้าง
อย่างถ้า หากเอาตามหลักการของคนที่เขาคิดวิธีที่จะนอนหลับง่ายๆ
สบายๆ อะไรแบบนี้นะ จริงๆ แล้วเขาบอกด้วยซ้ำว่า
ไม่ใช่ให้นึกถึงแต่ความสบายแล้วก็วางนอนแบบนิ่งๆ แน่นิ่งอะไรแบบนั้น จริงๆ
เขามีกลเม็ด หรือว่ามีอุบายกันว่าให้ออกแรงนิดหนึ่ง เพื่อให้เกิดความเหนื่อย
ทีนี้เราก็อาจมาประยุกต์ได้
ถ้าคุณสามารถรู้สึกถึงความสว่างทางใจ
แล้วก็เห็นได้ถึงความจริงทางกายนะครับ ที่มันมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นรูปกระดูก
เป็นรูปพรรณสัณฐานกระดูก คุณอาจลองเล่นดูก็ได้
คือยกมือขึ้นมา ปกติ ถ้าจิตสว่างใสแล้ว
จะเห็นเหมือนกับ ข้างหน้าเป็นอากาศว่างใสๆ ที่ว่างเกินจริง
ว่างเกินความมืดที่กำลังปรากฏอยู่
ถ้าหากว่าเรายกเอากระดูกข้อมือที่เรารู้สึกว่ามันวางได้แล้ว เห็นเป็นกระดูกแล้ว
มาวาดผ่านไป จะรู้สึกเลย คือเหมือนกับมีอะไรผ่านตานี่นะ ตอนแรกเหมือนจะมีเงาผ่านตา
ถ้าใจของเรา สามารถจับ รู้สึกถึงความเป็นแท่งกระดูกได้ จะค่อยๆเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ
นะ เหมือนมีซี่กระดูกแขน วาดผ่าน แล้วพอเราเอาวางลงไป
ก็เหมือนหายไปจากห้วงมโนทวารของเรานะ
ความรู้สึกว่า การเห็นที่มันแสดงต่อใจ
ที่ว่าง ที่สว่างอยู่นั้น เป็นนิมิตบอกความไม่เที่ยงได้อีกชนิดหนึ่งนะ
อย่างพอเวลาวาดผ่านนี่ก็เหมือนเห็น พอเวลาวางลงเหมือนหายไป การรับรู้ทางคลองจักษุ
หรือว่าทางสายตา ไม่ปรากฏ แต่มันปรากฏเป็นการรับรู้ผ่านห้วงมโนทวาร
ซึ่งยิ่งเรามีความคุ้นเคย
มีความชินกับการเห็นอะไรแบบนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีจิตที่ผ่อนพัก ผ่อนคลาย
แล้วก็วางจริงทุกคืนมากขึ้นเท่านั้นนะครับ เหมือนกับเราได้พัก ได้ชาร์จแบต
ได้ทำให้ร่างกายและสภาพจิตใจนี่ อยู่ในโหมดพักผ่อนที่สมบูรณ์ ก่อนที่จะนอน
จะรู้สึกเลยว่า จิตใจมันทิ้งหมด ไม่ว่าภาระ พันธะ หรือว่า
ความกังวลนานาประการทั้งปวงนี่นะ เหมือนกับมันหายไป
แล้วเราก็ชินกับการเห็นอย่างนี้
ไม่ว่าจะเห็นในขณะนอนนิ่งๆ ที่ข้อมือวางอยู่บนฟูก แล้วเห็นเป็นกระดูก
หรือว่าจะรู้สึกเหมือนกับว่า เราเอาฝ่ามือหรือว่าท่อนแขนมาวาดผ่านหน้า
แล้วเห็นเป็นโครงกระดูก มันสักแต่เป็นวัตถุที่แสดงความไม่ใช่เรา แสดงความไม่เที่ยง
ด้วยอาการต่างๆ ที่บางทีไม่เที่ยงในแบบที่เราเห็นว่าโครงกระดูกมันผ่านตาไป
ผ่านหน้าไป แล้วก็หายไป แต่บางทีนี่ มันก็มาในรูปของการอยู่ในท่านอนนิ่งๆ นะ แล้วแสดงให้เห็นนะครับว่า
บางทีมันก็ปรากฏเป็นก้อนเนื้อมืดๆ ดำๆ หรือว่า เป็นโครงกระดูกขาวๆ
ที่มันแจ่มชัดกระจ่าง
ซึ่งอันนั้นแหละ เหล่านั้นแหละ
คือสภาพทางจิตที่มันกำลังปรากฏอยู่ตามจริง ถ้าเราเห็นสภาพทางกายอย่างไร
มันสะท้อนเข้าไปให้เราเรียนรู้นะครับว่า สภาพทางจิต ก็เป็นเช่นนั้น เห็นก้อนกายมืดๆ
นั่นก็คือจิตของเรายังมืดอยู่
แต่ถ้าเห็นสว่างกระจ่างใส เป็นโครงกระดูกชัดๆ
นั่นแสดงว่าจิตมีความสว่าง มีความผ่องใสนะ
ก็ลองทำดูนะครับ คือพอเริ่มต้นนี่
เราเริ่มจากการเห็นเป็นโครงกระดูกแค่ท่อนแขนนะ แต่พอเราทำจนชำนาญแล้วนี่ จิตมันเต็มแล้วนี่
ก็จะเห็นเป็นกระดูกเต็มๆ ทั้งอย่างนี้เลยนะ มันจะเป็นไปเองโดยไม่ต้องตั้งใจ
ไม่ต้องพยายามนะครับ
ถ้าหากว่าพยายาม จำไว้นะ หลักการ ถ้าเราจะแก้โรคนอนไม่หลับ
อย่าพยายามฝืนทำอะไรที่มันเกินตัว หรือว่าเกินกำลังของจิต แต่ให้เป็นไปเอง
เป็นไปแบบที่เราไม่ต้องมีอาการต้องออกแรงน่ะ อย่าออกแรง แต่ให้ทุกอย่าง
ปรากฏขึ้นมาเองตามที่มันจะปรากฏนะครับ
มีอะไรให้รู้ ก็รู้
เท่าที่มันจะมีให้รู้นั่นแหละ อันนี้คือในที่สุดแล้วจิตใจ จะผ่อนพัก ผ่อนคลาย
เพราะเห็นความจริงเกี่ยวกับสภาพกาย แล้วก็ทำให้จิตใจ ไม่ยึดความจริงว่า จะต้องเอาจริงเอาจังนะ
การเห็นความจริงที่แท้นั่นแหละ
คือการที่ใจเริ่มฉลาดที่จะไม่เอาจริงเอาจังกับมันนะ!
___________
ถอดความ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=WpEbJJf5Eow&t=328s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น