วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2563

เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังหลอกตัวเองคะ?

 ดังตฤณ :  ถ้าหากว่าดูเผินๆ มันเหมือนกับน่าจะรู้นะครับ มันก็น่าจะรู้ๆ อยู่ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้วเนี่ย สำหรับบางคนมันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

ผมให้หลักการไว้ ๒ ข้อคร่าวๆ

ข้อแรก คุณดูว่าคุณขัดแย้งกับคนทั่วไปแค่ไหน อย่างเรื่องบางเรื่อง โอเคอาจเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ใครกี่คนที่ใกล้ชิดกับคุณ เอาเฉพาะที่เขารักคุณหวังดีกับคุณนะ พูดเหมือนกันหมดเลย มันไม่ตรงกับที่คุณคิดว่า เรากำลังคิดอย่างนี้เนี่ย มันถูกต้อง ยกตัวอย่าง คือบอกว่า บางคนนะ “ฉันเนี่ย ทำบาปมา ฉันแก้ตัวไม่ได้แล้วทั้งชีวิตนี้ ฉันเป็นคนบาป” แต่คนอื่นเขามองว่า คุณเนี่ยจริงๆ แล้ว โอ้โห ทำบุญมาก็ไม่ใช่น้อยๆ นะ แล้วบาปที่ทำก็ไม่ได้สาหัสสากรรจ์อะไร มันยังสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ มันยังเหลือเวลาอยู่ตั้งเยอะ นี่เขาพูดแบบนี้เหมือนกันหมดเลยนะ แต่มีคุณอยู่คนเดียวคิดว่าเปลี่ยนไม่ได้แล้ว อันนี้ตอนที่เชื่อตัวเองมันก็จะไม่ฟังใครหรอก แต่คำถามตั้งโจทย์อย่างนี้ว่า ทำยังไงเราจะรู้ว่าเราหลอกตัวเอง เราปักยึดใจเชื่อใจอะไรทึกทักอะไรที่มันเหลวไหลไปเองคนเดียวเนี่ยนะครับ ก็ดูจากตรงนี้ อันนี้ข้อแรกก่อนเลยว่า คนที่เขาใกล้ชิดคุณจริงๆ เขาหวังดีกับคุณจริงๆ เนี่ยนะครับ เขาเห็นต่างจากที่คุณคิด คุณเชื่อแค่ไหน  เพราะบางทีสายตาภายนอกเห็น เห็นได้ชัดว่าคิดแบบนี้เพี้ยนแล้ว มันไม่ถูกแล้ว แต่เราเองเนี่ยมันไม่สามารถที่จะเห็นด้วยใจที่มันแยกออกไปราวกับบุคคลที่สองมองเข้ามา เพราะฉะนั้น อันนี้ก็ลองดูว่าคนอื่นเขาพูดยังไง

ข้อที่สอง คือ คุณต้องมีความสามารถในการเจริญสติถึงระดับหนึ่ง ที่จิตมันมีความเป็นกลางจริงๆ เหมือนเปรียบเทียบเรายืนอยู่ที่เนินเขา หรือว่าเชิงเขา อยู่ในที่ราบที่ต่ำ เราจะเห็นมุมมองหนึ่ง แล้วมันไม่สามารถเห็นมุมมองอื่นได้ แต่พอย้ายขึ้นไปยืนอยู่บนยอดเขา อ้าว! มันผิดกับที่คิดเยอะเลย บอกว่าสถานที่ หรือภูมิทัศน์รอบด้านเนี่ยน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้ พอไปยืนอยู่บนยอดเขา ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย ไม่ใช่อย่างที่เดาไว้ตั้งแต่ต้น มันมีรูปมีร่างอะไรที่แตกต่างไป มันมีความกว้าง มันมีความเวิ้งว้างอะไรบางอย่างที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน เนี่ยอันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีความสามารถที่จะเจริญสติจนกระทั้งจิตมันเข้าสู่โหมดเป็นกลาง ไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่มีอคติคิดตามที่ใจเหมือนกับหลอกให้คิด ก็จะเห็นอะไรอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่าง บางคนเชื่อจริงๆ นะ ไอ้ความทุกข์สาหัสที่เกิดขึ้นเนี่ย บางคนเชื่อว่ามาจากกรรมเก่าแก้ไม่ได้ บางคนเชื่อว่ามาจากเคมีในสมอง ต้องกินยาเท่านั้น แล้วก็คือจะไปมีพฤติกรรมอะไรเปลี่ยนแปลงอะไรแค่ไหนเนี่ย ไม่มีผลเลยต้องยาอย่างเดียว มีสาเหตุมาจากสมองฉันผิดปกติ ฉันก็เลยแก้ไขอะไรไม่ได้ ฉันไม่สามารถที่จะเอาชนะข้อจำกัด หรือว่าเพดานของตัวเองได้ ต้องทนอยู่อย่างนี้ท่าเดียว

หรือบางคนไปปักใจเชื่อว่า เนี่ยมันเป็นเรื่องของภูตผีปีศาจ มันเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ อันนี้คือตัวอย่างแบบง่ายๆนะครับว่า บางทีเนี่ยเราไปปักใจเชื่ออะไรบางอย่างที่มันไม่ตรงกับต้นตอปัญหาทั้งหมด ต้นตอปัญหาทั้งหมดบางทีมันมาจากวิธีคิด ซึ่งถ้าเราเจริญสติไปจนกระทั่งจิตเลิกหลงยึดไอ้วิธีคิดตรงนี้ คือมีสติ มีความสว่างของจิตเห็นว่าความคิดมันเป็นเพียงสิ่งห่อหุ้ม มันเป็นเพียงของเข้ามากระทบชั่วคราวแล้วหายไป จนกระทั้งจิตมันมีความเด่นดวงอยู่ ไร้ความคิด พอความคิดกลับเข้ามา มันถึงเห็น อ้อไอ้นี่ ความคิดเนี่ยจริงๆ เดิมมันไม่ต้องเป็นของเราก็ได้ มันเป็นของข้างนอกเข้ามากระทบจิต แล้วเรายึด เราไปเชื่อตามวิธีคิดแบบนั้น มันถึงเกิดความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ราวกับว่าเราเองเป็นเจ้าของความคิด ความคิดนั้นคือตัวเราแน่ๆ

แต่พอถึงจุดที่จิตมันเกิดความชัดเจนแจ่มกระจ่างว่า ความคิดไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน ไม่จำเป็นต้องเป็นของเราเสมอไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดแบบนี้เสมอไปก็ได้ คิดทางอื่นก็ได้ เนี่ยตัวนี้แหละมันเหมือนถูกปลดปล่อย เหมือนนกที่เป็นอิสระจากกรงแคบๆ ขึ้นมา แล้วก็จะเห็นไปอีกอย่างหนึ่งเลยว่า อ๋อที่คิดมาทั้งหมดเนี่ย จริงๆ มันไม่ตรงความจริง

ฉะนั้นคือ ถ้าจะรู้ว่าเราหลอกตัวเอง หรือไม่หลอกตัวเองเนี่ย เปรียบเทียบเอาจากตรงนั้น ถ้าหลอกตัวเองมันจะเห็นด้วยจิตที่เป็นกลางแล้วว่า ความคิดแบบนี้ วิธีคิดแบบนี้ มันพาไปสู่ความหลงผิด มันพาไปสู่ความรู้สึกอึดอัด ทุกครั้งที่คิดมันจะเป็นการคิดด้วยสุขเกินๆ หรือไม่ก็ทุกข์เกินๆ นะครับ ไม่สมเหตุสมผล แล้วก็พอเรามีสติเห็นว่าวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง มันทำให้สบายใจกว่ากัน มันทำให้รู้สึกว่า เออเนี่ย ที่เรียกว่าความจริง มันต้องอย่างนี้ เป็นความจริงที่ปลดปล่อยจิตออกจากความอึดอัดได้

คือข้อ ๒ ที่ผมบอกว่าใช้การเจริญสติเข้ามาช่วยเป็นไม้บรรทัดวัดเนี่ยนะ มันไม่ใช่ว่าทำแป๊บเดียวแล้วได้ มันไม่ใช่ทำแป๊บเดียวแล้วรู้ว่า อ๋อที่ผ่านมาเราหลอกตัวเองมาตลอด มันต้องถึงขั้นที่จิตเนี่ยเปลี่ยนแปลงไประดับหนึ่ง อย่างที่ผมยกเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย เหมือนกับย้ายตัวเองจากเนินเขาไปสู่ยอดเขาให้ได้ก่อน มันถึงจะเห็นอะไรที่แตกต่างไปนะครับ

---------------------------------------------

๑๙ กันยายน ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เลิกหลอกตัวเองทำยังไง?

คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเรากำลังหลอกตัวเองคะ?
ระยะเวลาคลิป    ๗.๕๐   นาที

รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=X95iq4ztC5A&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น